การเลี้ยงแพะ-แกะของจังหวัดน่านเป็นรูปแบบการเลี้ยงแบบรายย่อย ที่มีจำนวนแพะ-แกะ 20-30 ตัวต่อราย ตามสถิติของกรมปศุสัตว์ประจำปี 2565 พบว่าจังหวัดน่านมีจำนวนแพะ-แกะรวมทั้งสิ้น 3,133 ตัว เกษตรกรจำนวน 312 ราย การเลี้ยงแพะ-แกะเป็นแบบปล่อยให้หากินตามธรรมชาติร่วมกับการเลี้ยงบนโรงเรือนด้วยอาหารที่เกษตรกรจัดหาให้ เช่น กระถิน หญ้า ต้นข้าวโพด วัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร (ฟางข้าว ต้นถั่วเหลือง เปลือกข้าวโพด) และอาหารข้น (อาหารเม็ดสำเร็จรูป หรืออาหารผสมเอง) เป็นต้น แม้ว่าจังหวัดน่านจะมีแหล่งทรัพยากรด้านอาหารสำหรับการเลี้ยงแพะ-แกะที่อุดมสมบูรณ์ แต่แพะ-แกะที่เป็นผลผลิตกลับมีสุขภาพไม่สมบูรณ์และมีสภาพผอม ซึ่งเป็นผลจากการที่เกษตรกรขาดการจัดการเรื่องอาหาร ทั้งวิธีการนำมาใช้ประโยชน์ และการวางแผนสำรองไว้ใช้ในหน้าแล้ง นอกจากนี้ยังพบว่าสายพันธุ์ที่เกษตรกรเลี้ยงในปัจจุบันเป็นพันธุ์พื้นเมืองซึ่งนอกจากจะไม่ตรงกับความต้องการของตลาด ยังมีอัตราการเจริญเติบโตต่ำ ต้องเลี้ยงเป็นเวลานานจึงจะสามารถขายได้ การที่เกษตรกรขาดเงินทุนในการจัดหาพ่อแม่แพะ-แกะพันธุ์ดีมาใช้ในการพัฒนาปรับปรุงพันธุกรรมภายในฟาร์ม นำมาซึ่งการดำเนินโครงการการพัฒนาศักยภาพกลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์เคี้ยวเอื้องขนาดเล็กด้วยเทคโนโลยีทางการสืบพันธุ์ในพื้นที่จังหวัดน่าน ซึ่งมีวัตถุประสงค์หลักในการจัดการความรู้ด้านเทคโนโลยีทางการสืบพันธุ์ที่ใช้ในการปรับปรุงพันธุ์สัตว์ของเกษตรกร เช่น การผสมเทียมด้วยวิธีต่าง ๆ การเหนี่ยวนำให้เป็นสัด การพัฒนาศักยภาพและเสริมสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชนเครือข่ายเกษตรกรผู้เลี้ยงแพะ-แกะ ด้วยการจัดการความรู้ด้านการเลี้ยงสัตว์ตามหลักวิชาการ การเติมเต็มสิ่งที่เกษตรกรขาด และการเสริมจุดแข็งผ่านการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมและการคิดวิเคราะห์ที่เป็นระบบ นอกจากจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรแล้วยังทำให้พวกเขามีรายได้ที่สูงขึ้นด้วย
การดำเนินโครงการครอบคลุมพื้นที่ 4 ตำบล ในจังหวัดน่าน ประกอบด้วย 1) ตำบลบ้านพี้ อำเภอบ้านหลวง 2) ตำบลน้ำเกี๋ยน อำเภอภูเพียง 3) ตำบลสะเนียน อำเภอเมืองน่าน และ 4) ตำบลเรือง อำเภอเมืองน่าน โดยโครงการเป็นผู้ส่งเสริมให้เกิดกระบวนการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม (ร่วมคิด ร่วมวางแผน ร่วมลงมือทำ และร่วมรับผิดชอบ) มีการจัดการองค์ความรู้เรื่องการเลี้ยงแพะ-แกะ (โรงเรือน อาหาร สุขภาพ ระบบสืบพันธุ์) การนำเทคโนโลยีทางการสืบพันธุ์ (การเหนี่ยวนำให้เป็นสัด การผสมเทียม) ตลอดจนการวางแผนการผลิตทั้งในภาคทฤษฎีและการลงมือปฏิบัติมาใช้อย่างครบวงจร นอกจากนี้ทางโครงการยังมุ่งเน้นการสร้างเกษตรกรแกนนำด้านการผสมเทียม โดยมุ่งหวังให้เกษตรกรสามารถผสมเทียมแพะ-แกะของตัวเองได้ด้วยน้ำเชื้อพันธุ์ดี และสามารถพัฒนาสายพันธุ์ภายในฟาร์มของตนได้เร็วมากขึ้น ผลจากการใช้เทคโนโลยีทางการสืบพันธุ์ทั้งการเหนี่ยวนำให้เกิดการเป็นสัดและการผสมเทียมร่วมกับการฝึกปฏิบัติ ทำให้เกษตรสามารถผสมเทียมแพะ-แกะของตัวเองได้ ในการดำเนินการมีแพะได้รับการเหนี่ยวนำให้เป็นสัดจำนวน 56 ตัว โดยมีจำนวน 3 ตัว ที่แท่งฮอร์โมน (CIDR-G) หลุดจากช่องคลอดก่อนถึงกำหนด ส่วนแม่พันธุ์ที่เหลือจำนวน 53 ตัว ตอบสนองต่อการเป็นสัด คิดเป็น 94.94% ของทั้งหมด (53/56) สำหรับการใช้น้ำเชื้อ ในช่วงแรกทีมวิจัยเลือกใช้น้ำเชื้อแช่แข็งแพะพันธุ์บอร์สายเลือดแท้ (100%) ซึ่งมีเปอร์เซ็นต์การเคลื่อนที่ไปข้างหน้าของตัวอสุจิ (Progressive motility) เท่ากับ 30-40% ในการผสมเทียมแพะจำนวน 19 ตัว พบว่าอัตราการผสมติดเท่ากับ 0% ทางทีมวิจัยจึงปรับมาใช้น้ำเชื้อแช่เย็นแพะพันธุ์บอร์สายเลือด 87.5% ซึ่งมีเปอร์เซ็นต์การเคลื่อนที่ไปข้างหน้าของตัวอสุจิ 60% ในการผสมเทียมแพะจำนวน 34 ตัว พบว่าอัตราการผสมติดเท่ากับ 43.48% (จากการตรวจท้องแพะจำนวน 23 ตัว) และรอการตรวจท้องอีก 11 ตัวเมื่อครบกำหนดการผสม 45 วัน สำหรับการพัฒนารูปแบบการเลี้ยงแพะ-แกะ เกษตรกรนำองค์ความรู้ที่ได้รับการถ่ายทอดไปปรับใช้ในฟาร์มของตนเอง เช่น 1) ปรับปรุงโรงเรือนที่เลี้ยงให้ถูกสุขลักษณะตามหลักวิชาการ มีการยกพื้นโรงเรือนจากเดิมที่ปลูกสร้างติดพื้นดิน 2) เตรียมแปลงหญ้าเพื่อใช้เป็นแหล่งอาหารให้แพะ-แกะ 3) วางแผนเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ (การถ่ายพยาธิ และการฉีดวัคซีนป้องกันโรค) 4) วางแผนเรื่องการพัฒนาสายพันธุ์ มีการซื้อสายพันธุ์ที่เป็นความต้องการของตลาดเข้ามาปรับปรุงสายพันธุ์ควบคู่กับการใช้เทคโนโลยีการผสมเทียม ทั้งนี้โครงการสามารถผลิตเกษตรกรที่สามารถผสมเทียมแพะ-แกะในฟาร์มของตนเองจำนวน 8 ราย และเกิดเป็นเครือข่ายที่มีการสื่อสาร แบ่งปันประสบการณ์เรื่องการผสมเทียมระหว่างกันขึ้น ตลอดระยะเวลา 12 เดือนในการดำเนินโครงการฯ พบว่าผลจากการใช้เทคโนโลยีฯ นำไปสู่การพัฒนาสายพันธุ์แพะ-แกะ และการเลี้ยงที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งเบื้องต้นทางทีมวิจัยได้ทำงานเชื่อมต่อกับสำนักงานปศุสัตว์จังหวัดน่าน โดยได้รับการสนับสนุนทั้งบุคลากรและการอำนวยความสะดวกในการปฏิบัติงานในพื้นที่เป็นอย่างดี การมีกลไกเครือข่ายผสมเทียมแพะ-แกะ ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เกิดการบริหารจัดการร่วมกัน กลไกเครือข่ายจะทำให้ประสิทธิภาพการจัดการผลิตและระบบสืบพันธุ์มีความเข้มแข็งมากขึ้น สิ่งที่เห็นได้ชัดอีกประการหนึ่งคือ การเลี้ยงแพะ-แกะมีการพัฒนาพันธุกรรม มูลค่าตัวสัตว์เพิ่มขึ้น ทำให้เกษตรกรรายอื่นเกิดแรงจูงใจที่จะหันมาเลี้ยงแพะ-แกะเพิ่มมากขึ้น เข้าร่วมกระบวนการในการขับเคลื่อนการพัฒนาการเลี้ยงแพะ-แกะ เกิดการปรับเปลี่ยนอาชีพและบริหารจัดการทรัพยากรให้เกิดประโยชน์อย่างคุ้มค่า