จังหวัดพะเยามีการรวมตัวของเกษตรกรผู้เลี้ยงโคเนื้อภายใต้ชื่อ สหกรณ์โคขุนดอกคำใต้ ซึ่งมีสมาชิกเป็นกลุ่มเกษตรผู้เลี้ยงโคเนื้อที่เป็นสมาชิกของสหกรณ์โคขุนดอกคำใต้ จำกัด ซึ่งปัจจุบันเป็นกลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงโคเนื้อที่มีสมาชิกหลักกระจายอยู่ในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 คือ พะเยา เชียงราย แพร่ น่าน และเกษตรกรกลุ่มสมทบในจังหวัดใกล้เคียง เช่น ลำปาง ลำพูนและเชียงใหม่ โดยได้รับการสนับสนุนจากยุทธศาสตร์การผลิตโคของกรมปศุสัตว์เพื่อผลิตโคเนื้อมุ่งเป้าสู่การตลาดในเขตภาคเหนือและขยายโอกาสสู่ระดับอำเซียนปัจจุบันมีสมาชิกกว่า 300 ราย มีจำนวนโคขุนกว่า 500 ตัวอย่างไรก็ตามการดำเนินงานประสบปัญหาหลัก คือ ต้นทุนการผลิตสูง เนื่องจากในปัจจุบันการเลี้ยงโคขุนคุณภาพดี 1 ตัว ต้องใช้เวลา 3 ปี โดยเฉพาะการขุนโคปลายน้ำเสียค่าใช้จ่ายตัวละประมาณ 90 บาทต่อวัน และต้องใช้เวลาขุนนานถึงประมาณ 10 เดือน ค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงโดยเฉพาะค่าอาหารโคขุน (ปลายน้ำ) เป็นเงิน ต้นทุนสูงประมาณ 27,000 บาทต่อโคขุน 1 ตัว ดังนั้นทางกลุ่มฯ จึงประสานมาที่มหาวิทยาลัยพะเยาและศูนย์วิจัยและบำรุงพันธุ์สัตว์พะเยาเพื่อหาแนวทางลดต้นทุนการผลิต โดยแนวทางการดำเนินงานอาศัยผลงานวิจัยที่ผ่านมา พบว่าการใช้วัสดุท้องถิ่น เช่น เปลือกข้าวโพดหมักร่วมกับมันสำปะหลังและฟักทองที่หาง่ายในพื้นที่นามาเลี้ยงโคขุน ทำให้สามารถผลิตโคขุนที่มีคุณภาพดีทัดเทียมกับการใช้อาหารข้นทั่วไปซึ่งเมื่อสมาชิกของสหกรณ์ฯ นำเทคโนโลยีนี้ไปใช้ ทำให้สามารถลดต้นทุนการผลิตโคขุนได้กว่า 40 เปอร์เซ็นต์ เหลือต้นทุนค่าอาหารในการการผลิตโคขุนคุณภาพดี (โคปลายน้ำ) ประมาณ 16,800 บาทต่อการเลี้ยงโคขุน 1 ตัวต่อรอบการผลิต 10 เดือน จึงเป็นเหตุจูงใจให้มีการรวมกลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงโคเนื้อทั้ง 4 จังหวัดภาคเหนือตอนบนสอง (พะเยา เชียงราย แพร่และน่าน) มาเลี้ยงโคเพิ่มขึ้น
การดำเนินงานตั้งแต่ปี พ.ศ. 2559 ที่ผ่านมา ทางคณะทำงานได้มีการเชื่อมโยงความรู้และการให้บริการวิชาการร่วมกับหลายภาคส่วนของจังหวัดพะเยา เพื่อนำความรู้จากการวิจัยด้านปศุสัตว์โดยเฉพาะด้านการผลิตโค ด้านอาหารสัตว์ ด้านการตลาด มาขับเคลื่อนการดำเนินการและเป็นการดำเนินงานตามปณิธานของมหาวิทยาลัยพะเยา ที่ได้ตั้งปณิธานไว้ว่า “ปัญญาเพื่อความเข้มแข็งของชุมชน” นักวิจัยลงไปในพื้นที่เพื่อศึกษาโจทย์และปัญหาที่แท้จริงของชุมชน จากนั้นจึงนำความรู้ที่มีอยู่ไปพัฒนาร่วมกับชุมชนโดยการปฏิบัติจริงและให้เกิดความรู้ที่เพิ่มพูนมากขึ้นทั้งในด้านวิชาการและความรู้ด้านปฏิบัติรวมไปถึงการเรียนการสอนเพื่อให้เกิดการทำงาน 3 กระบวนการร่วมกัน คือ การเรียนการสอน การวิจัย และ การบริการวิชาการ ท้ายที่สุดเมื่อชุมชนเกิดความเข้มแข็ง ทำให้มีแกนนำเกษตรกรในพื้นที่ซึ่งได้รับการเรียนรู้แล้ว จะเป็นกลุ่มเกษตรกรที่มีองค์ความรู้ ความเข้าใจ และสามารถนำความรู้ที่ได้ไปปฏิบัติจริง และขยายไปสู่ผู้ที่สนใจ เกษตรกรอื่นๆ และชุมชนใกล้เคียง สำหรับนำไปปฏิบัติใช้เพื่อเป็นรายได้เสริมเพิ่มขึ้นมาจากการเลี้ยงโคขุน รองรับการตลาดภาคเหนือ ระดับประเทศ และ AEC ต่อไป