การศึกษาวิจัยเรื่อง
ต้นแบบการพัฒนาเครือข่ายเยาวชนเพื่อป้องกันการกระทำความผิดและตกเป็นเหยื่ออาชญากรรมด้วยกระบวนการสื่อสังคมออนไลน์
เป็นการศึกษาวิจัยที่เกิดจากการเล็งเห็นถึงปัญหาการก่ออาชญากรรมและการตกเป็นเหยื่ออาชญากรรมของเยาวชน
จึงได้มีแนวคิดที่จะนำจุดแข็งของสื่อสังคมออนไลน์ซึ่งมีบทบาทต่อการดำเนินชีวิตของเยาวชนอย่างมากในปัจจุบันมาเป็นเครื่องมือในการสร้างความตระหนักรู้ผ่านการสร้างเครือข่ายเยาวชนเพื่อป้องกันมิให้เยาวชนเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำที่ผิดกฎหมายหรือตกเป็นเหยื่ออาชญากรรม
การศึกษาวิจัยนี้ได้ดำเนินการตามกระบวนการของการจัดการความรู้ผ่านการวิเคราะห์เอกสารการสัมภาษณ์เชิงลึกผู้ให้ข้อมูลสำคัญ
และการสนทนากลุ่ม โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดการความรู้เกี่ยวกับแนวทางการสร้างและพัฒนาเครือข่ายเยาวชนเพื่อป้องกันการกระทำความผิดและตกเป็นเหยื่ออาชญากรรมด้วยกระบวนการสื่อสังคมออนไลน์
รวมถึงจัดทำคู่มือสำหรับการสร้างต้นแบบการพัฒนาเครือข่ายเยาวชนดังกล่าวและเผยแพร่องค์ความรู้เกี่ยวกับการสร้างและพัฒนาเครือข่ายเยาวชนดังกล่าวให้แก่กลุ่มเป้าหมาย ซึ่งเป็นตัวแทนเจ้าหน้าที่ตำรวจมวลชนสัมพันธ์ ตัวแทนเยาวชน และบุคลากรขององค์กรของภาครัฐ
ภาคเอกชน และภาคประชาชนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการป้องกันอาชญากรรมซึ่งอยู่ในพื้นที่รับผิดชอบของกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค
7 รวมถึงนักเรียนนายร้อยตำรวจที่กำลังเรียนวิชาตำรวจมวลชนสัมพันธ์ด้วย
จากการดำเนินการศึกษาวิจัยตามกระบวนการของการจัดการความรู้
ทำให้ทราบว่าแนวทางการสร้างและพัฒนาเครือข่ายเยาวชนเพื่อป้องกันการกระทำความผิดและตกเป็นเหยื่ออาชญากรรมด้วยกระบวนการสื่อสังคมออนไลน์ ประกอบไปด้วย 4 ขั้นตอนหลัก ได้แก่ 1) ขั้นเตรียมการ 2)
ขั้นการรับสมัครสมาชิกเครือข่ายและคัดเลือกแกนนำเครือข่าย 3)
ขั้นฝึกอบรมแกนนำเครือข่าย และ 4)
ขั้นขยายเครือข่ายและสร้างความยั่งยืนให้กับเครือข่าย โดยจะต้องใช้การบูรณาการความร่วมมือระหว่างบุคลากรของหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายกับบุคลากรในหน่วยงานที่ดูแลเยาวชนที่จะนำมาเป็นสมาชิกเครือข่าย
เช่น ผู้บริหารสถานศึกษา ครูฝ่ายกิจกรรมนักเรียน รวมถึงตัวแทนแกนนำเครือข่ายเยาวชนที่จะต้องร่วมกันขับเคลื่อนกิจกรรมของเครือข่ายร่วมกับเยาวชนที่เป็นสมาชิกของเครือข่ายผ่านสื่อสังคมออนไลน์รูปแบบต่าง
ๆ ที่ร่วมกันสร้างขึ้นโดยมุ่งเน้นไปที่กิจกรรมที่สามารถสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับภัยของอาชญากรรม
นอกจากนี้ หลังจากที่นำองค์ความรู้ไปถ่ายทอดให้กับกลุ่มเป้าหมาย
พบว่า กลุ่มเป้าหมายมีระดับความรู้ความเข้าใจในภาพรวมเกี่ยวกับการสร้างและพัฒนาเครือข่ายเยาวชนเพื่อป้องกันการกระทำความผิดและตกเป็นเหยื่ออาชญากรรมด้วยกระบวนการสื่อสังคมออนไลน์และแนวทางการขับเคลื่อนกิจกรรมเครือข่ายผ่านสื่อสังคมออนไลน์ที่เพิ่มขึ้นและสามารถสร้างและใช้งานสื่อสังคมออนไลน์ที่ใช้ในการขับเคลื่อนกิจกรรมของเครือข่ายได้
และในแง่ของการนำองค์ความรู้ไปใช้ประโยชน์ ยังพบว่ากลุ่มเป้าหมายมีแนวคิดที่จะเข้ามามีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนกิจกรรมเครือข่ายของต้นแบบเครือข่ายที่สร้างขึ้นและยังมีแนวคิดในการนำต้นแบบเครือข่ายดังกล่าวไปประชาสัมพันธ์ในหน่วยงานหรือในพื้นที่ของตนเพื่อที่จะขยายเครือข่ายให้กว้างขวางมากยิ่งขึ้น
รวมถึงแนวคิดที่จะนำไปต่อยอดโดยการสร้างเครือข่ายในหน่วยงานหรือชุมชนของตนเองต่อไปอีกด้วย
คำสำคัญ การจัดการความรู้ / สื่อสังคมออนไลน์
/ เครือข่ายเยาวชน / การตกเป็นเหยื่ออาชญากรรม