โครงการพัฒนาแผนที่ดิจิทัลเพื่อการจัดการความรู้ด้านการวิจัย ระยะที่ 2: 16 ประเภทองค์ความรู้และการติดตามประเมินผลโครงการด้วยเทคโนโลยี มีวัตถุประสงค์เพื่อต่อย่อดโครงการพัฒนาแผนที่ดิจิทัลเพื่อการจัดการความรู้ด้านการวิจัย (ระยะที่ 1) โดยการเพิ่มจำนวนโครงการถ่ายทอดองค์ความรู้ที่ได้รับทุนอุดหนุนการทำกิจกรรมส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัย ภายใต้โครงการจัดการความรู้การวิจัยเพื่อการใช้ประโยชน์ ให้ครอบคุมปีงบประมาณ 2556 ถึง 2564 และได้ทำการปรับเปลี่ยนและเพิ่มมิติการนำเสนอข้อมูล กลุ่มองค์ความรู้ กลุ่มผู้รับประโยชน์ ความสอดคล้องกับแผนและนโยบายภาครัฐ โดยการการวิเคราะห์เชิงสถิติและเชิงพื้นที่ พร้อมทั้งค้นหาและนำเข้าข้อมูลโครงการให้มีความสมบูรณ์มากที่สุด โดยการติดต่อนักวิจัยหรือหัวหน้าโครงการให้เข้ามาตรวจสอบ เพิ่มเติม หรือแก้ไขข้อมูลโครงการที่ได้ดำเนินการไป ผ่านระบบประเมินผลโครงการ ฯ ที่ได้พัฒนาขึ้นในโครงการนี้ ที่มีวัตถุประสงค์ให้มีการเก็บข้อมูลการประเมินผลโครงการถ่ายทอดโดยนักวิจัยหรือหัวหน้าโครง เพื่อการประเมินผลความสำเร็จในการดำเนินการสนับสนุนทุนการทำกิจกรรมถ่ายทอดองค์ความรู้ของสำนักงานการวิจัยแห่งชาติในอนาคต
ตลอดระยะเวลา 9 ปี มีจำนวนโครงการที่ได้รับการสนับสนุนการจัดการองค์ความรู้ทั้ง 11 มิติ รวมทั้งสิ้น 854 โครงการที่นำองค์ความรู้ 1,047 เรื่อง ไปสู่ ผู้รับระโยชน์โดยตรง 287,801 คน ซึ่งกระจายครอบคลุมพื้นที่ดำเนินการทั้งหมด 3,245 พื้นที่ทั่วประเทศไทย องค์ความรู้การวิจัยและนวัตกรรมทั้งหมด 20 กลุ่ม ได้ถูกนำไปใช้ประโยชน์ใน 4 มิติ คือ เชิงชุมชนและสังคม (44.4%) เชิงนโยบาย (12.8%) เชิงพาณิชย์ (23.4%) และเชิงวิชาการ (19.3%) ซึ่งถูกถ่ายทอดสู่กลุ่มเป้าหมาย 6 กลุ่ม คือ ประชาชนทั่วไป (70.7%) เกษตรกร (11.4%) หน่วยงานภาครัฐ (9.8%) บุคลากรการศึกษา (3.8%) ผู้ประกอบการ (3.3%) และอื่น ๆ (2.5%) นอกจากนั้นยังพบว่ามี 385 โครงการที่มีการระบุผู้กลุ่มเป้าหมายผู้ได้รับการถ่ายทอดองค์ความรู้ที่เป็นวิสาหกิจชุมชน หรือกลุ่มเกษตรกร ซึ่งมีทั้งหมด 857 แห่ง กระจายอยู่ใน 77 จังหวัด 486 อำเภอ 857 ตำบล ทั่วประเทศ
คลังความรู้การวิจัยและนวัตกรรม www.dkmmap.nrct.go.th จะเป็นช่องทางหนึ่งในการกระจายความรู้ไปในวงกว้าง และเชื่อมโยงเครือข่ายความรู้จากชุมชนหนึ่งยังอีกชุมชน เป็นการยกระดับคุณภาพการจัดการความรู้การวิจัยและนวัตกรรม ทุกภาคส่วนสามารถเข้าถึงและเรียนรู้แนวทางดำเนินงานและกระบวนการถ่ายทอดความรู้ได้อย่างเท่าเทียมและทั่วถึง และเป็นแนวปฏิบัติที่ดี (Best Practice) ในการบริหารจัดการคลังความรู้ขององค์กรให้กับหน่วยงานอื่น ๆ ได้นำไปปฏิบัติตามได้ในอนาคต