โครงการยกระดับผู้ประกอบการสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) สู่การค้าบนเครือข่ายสังคมออนไลน์ของผู้ประกอบการ OTOP ในจังหวัดตรัง มีวัตถุประสงค์หลัก เพื่อถ่ายทอดความรู้ด้านการค้าบนเครือข่ายสังคมออนไลน์ ให้แก่ ผู้ประกอบการวิสาหกิจชุมชน และ OTOP ในจังหวัดตรัง โดยแบ่งกระบวนการถ่ายทอดความรู้แบ่งเป็น 3 ขั้นตอน ได้แก่ การดำเนินงานช่วงต้น คือ การฝึกอบรมผู้ประกอบการให้มีความรู้ในการทำการค้าออนไลน์บนเฟซบุ๊ก การดำเนินงานช่วงกลาง คือ การให้ผู้ประกอบการลงมือปฏิบัติและให้คำแนะนำโดยผู้ดำเนินโครงการ และช่วงปลาย คือ การติดตามผลการดำเนินงาน
ผลการดำเนินโครงการสรุปได้ดังนี้
จากผู้เข้าร่วมโครงการจำนวน 107 คน มีผู้ตอบแบบสอบถามความพึงพอใจต่อการฝึกอบรม จำนวน 100 คน โดยผู้เข้าร่วมโครงการมีความพึงพอใจต่อวัตถุประสงค์ของโครงการในระดับมาก เมื่อประเมินความรู้ความเข้าใจก่อนฝึกอบรม ผู้เข้าร่วมโครงการมีความรู้ในระดับน้อย และเมื่อผ่านการฝึกอบรมแล้วผู้เข้าร่วมโครงการมีความรู้เพิ่มขึ้นระดับมาก โดยผู้เข้าอบรมมีความคิดเห็นว่า ประโยชน์ของโครงการต่อการนำความรู้ไปปรับใช้ในการปฏิบัติงานอยู่ในระดับมาก และในภาพรวมของกระบวนการจัดการฝึกอบรม ผู้เข้าร่วมโครงการมีความพึงพอใจในระดับมากที่สุด และจากจำนวนผู้สมัครเข้าร่วมโครงการ มีผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จสามารถทำการค้าผ่านเฟซบุ๊กได้ จำนวน 42 กลุ่ม คิดเป็นร้อยละของ 84.00 ของผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการทั้งหมด
ผลจากการทำการค้าผ่านเฟซบุ๊ก ก่อนเข้าร่วมโครงการ ผู้ประกอบการมีรายได้อยู่ระหว่าง 1,000-2,450,000 บาท/เดือน โดยมีรายได้เฉลี่ย 27,737 บาท/เดือน และเมื่อเข้าร่วมโครงการแล้ว ผู้ประกอบการมีรายได้เฉลี่ยอยู่ระหว่าง 1,500-2,500,000 บาท/เดือน โดยมีรายได้เฉลี่ย 35,656 บาท/เดือน และมีสัดส่วนรายได้ที่เพิ่มขึ้น ร้อยละ 2.04 ถึง ร้อยละ 566.67 โดยมีสัดส่วนการเพิ่มขึ้นของรายได้เฉลี่ยต่อเดือน ร้อยละ 120.63 ซึ่งเมื่อคิดเป็นรายได้เฉลี่ยรวมจากทุกกลุ่มที่เพิ่มขึ้นในการเข้าร่วมโครงการนี้ รวมเป็นเงิน 953,800 บาท/เดือน หรือ 11,445,600 บาท/ปี ซึ่งผู้ประกอบการส่วนใหญ่มีรายจ่ายเพิ่มขึ้นจากการลงทุนทำการค้าบนเครือข่ายบนสังคมออนไลน์ โดยเป็นค่าอินเตอร์เน็ต และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ทั้งนี้ ค่าอินเตอร์เน็ตเป็นการใช้ทั้งเรื่องส่วนตัวและเรื่องธุรกิจ ไม่สามารถแยกจากกันได้ และผู้ซื้อสินค้าจะเป็นผู้รับผิดชอบค่าจัดส่งเอง โดยในการคิดผลตอบแทนจากการลงทุนครั้งนี้ คิดจากรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากการใช้เฟซบุ๊กต่อเงินลงทุนการใช้เฟซบุ๊ก จากผลการวิเคราะห์พบว่าผู้ประกอบการได้รับผลตอบแทนอยู่ระหว่าง 0.00 – 1.00 โดยมีผลตอบแทนการลงทุนเฉลี่ยของทุกกลุ่มเท่ากับ 0.90
นอกจากนั้นแล้ว ผู้ประกอบการให้ความเห็นว่า การใช้เครือข่ายสังคมอออนไลน์ช่วยในการประชาสัมพันธ์ร้านหรือกลุ่มวิสาหกิจ ดีกว่าการไปออกงานต่าง ๆ ทำให้ลูกค้าติดต่อทางร้านได้ง่ายขึ้น ส่งผลให้ลูกค้าสั่งซื้อสินค้ามากยิ่งขึ้น และขยายกลุ่มลูกค้าออกไปในวงกว้าง เนื่องจากสามารถเข้าถึงได้จากทุกที่ และลูกค้าตัดสินใจซื้อสินค้าได้ง่ายขึ้นเนื่องจากได้เห็นสินค้าผ่านเฟซบุ๊ก แต่ผู้ประกอบการยังมีปัญหาและอุปสรรคบางประการ ได้แก่ ไม่มีเวลาโพสต์เนื่องจากทำงานอื่น ๆ ควบคู่กันไป ผู้ประกอบการมีอายุมากทำให้ใช้เฟซบุ๊ก ไม่สะดวกต้องให้ลูกหลานหรือคนใกล้ชิดช่วยเหลือ ไม่สามารถเขียนข้อความหรือคำโฆษณาได้ ขาดความชำนาญในการใช้ และไม่มีเทคนิคการถ่ายภาพให้สวยงาม บางวิสาหกิจมีคนดูแลเพจแต่เมื่อลาออกทำให้เพจไม่ต่อเนื่อง มีบางส่วนประสบปัญหาเรื่องสัญญาณอินเตอร์เน็ต และไม่มีความชำนาญในการตกแต่งภาพ ผู้ประกอบการบางคนจำรหัสเข้าเฟซบุ๊กไม่ได้ ทำให้ต้องสร้างเพจใหม่ ทำให้ลูกค้าเกิดความสับสน และลูกค้าในต่างประเทศจะเชื่อถือเว็บไซต์มากกว่าเฟซบุ๊ก