นวัตกรรมการจัดการองค์ความรู้สู่การพัฒนาชุมชน ประกอบด้วยกิจกรรมหลัก 3 กิจกรรม ได้แก่ การจัดการความรู้เกี่ยวกับการใช้จุลินทรีย์โพรไบโอติกแปรรูปอาหารและเครื่องสำอางเพื่อสุขภาพ จากผลิตผลทางการเกษตรของชุมชน การเพาะเห็ดป่า เห็ดเศรษฐกิจ และการแปรรูปเห็ด และ การเตรียมความพร้อม เพื่อรองรับสังคมผู้สูงอายุ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) สังเคราะห์สรุปความต้องการและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการรับบริการวิชาการของชุมชนและสังคม และนำองค์ความรู้ความชำนาญในด้านต่าง ๆ ประยุกต์ใช้ให้ตรงกับความต้องการของชุมชนและสังคมอย่างมีประสิทธิภาพ 2) พัฒนากิจกรรมวิจัยการถ่ายทอดองค์ความรู้สู่ชุมชน จังหวัดอุบลราชธานี 3) สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตผลทางการเกษตรของชุมชนในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี และ 4) เพื่อพัฒนากิจกรรมการเตรียมความพร้อมของสังคมเพื่อรองรับผู้สูงอายุ ในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี ผู้วิจัยได้วิเคราะห์ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และสุ่มสัมภาษณ์ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียแต่ละกลุ่มเพื่อประเมินว่ามีกิจกรรมใดที่สามารถวัดผลตอบแทนทางสังคมจากการลงทุนได้ ผลการสัมภาษณ์พบว่า กิจกรรมที่จัดในกลุ่มโรงเรียน ส่วนใหญ่ครู อาจารย์ นักเรียนและนักศึกษา ได้รับความรู้และทักษะเกี่ยวกับการใช้จุลินทรีย์โพรไบโอติกแปรรูปอาหารและเครื่องสำอางเพื่อสุขภาพ การเพาะเห็ดและแปรรูปเห็ด แต่ไม่สามารถดำเนินกิจกรรมได้อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากขาดงบประมาณและผู้รับผิดชอบโดยตรง การเพาะเห็ดป่า ไม่สามารถประเมินความอุดมสมบูรณ์ของเห็ดได้ เนื่องจากไม่ใช่ฤดูฝน กลุ่มที่สามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ชัดเจน จะเป็นกลุ่มที่มีเงินลงทุนและมีผู้รับผิดชอบ ได้แก่ สถานประกอบการเลมอนดริ้งค์ วิสาหกิจชุมชนกลุ่มแปรรูปผลผลิตทางการเกษตรก่อเอ้ วิสาหกิจชุมชนกลุ่มผลิตและแปรรูปแก้วมังกรตำบลก่อเอ้ และชมรมผู้สูงอายุตำบลก่อเอ้ จากนั้น ผู้วิจัยจึงจัดประชุมกลุ่มย่อยผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เพื่อร่วมกันจัดทำแผนที่ผลลัพธ์ กำหนดค่าแทนทางการเงินในกรณีที่ไม่มีมูลค่าทางตัวเงิน และกำหนดอัตราส่วน Deadweight, Attribution และ Drop - off และคำนวณหามูลค่าปัจจุบันสุทธิโดยใช้อัตราคิดลด (Discount rate) ตามอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลร้อยละ 2.35 ในระยะเวลา 5 ปี จากนั้นนำมาวิเคราะห์ผลตอบแทนทางสังคมจากการลงทุน (SROI)
ผลการศึกษา พบว่า
1. การจัดการความรู้เกี่ยวกับการใช้จุลินทรีย์โพรไบโอติกแปรรูปอาหารและเครื่องสำอางเพื่อสุขภาพ จากผลิตผลทางการเกษตรของชุมชน ผลลัพธ์ของที่สำคัญ คือ โครงการทำให้เกิดการสร้างงานและรายได้ให้กับคนในชุมชน เป็นการปลุกจิตสำนึกรักบ้านเกิด ไม่ต้องไปต่างจังหวัดในช่วงหน้าแล้ง ทำให้ครอบครัวอบอุ่นมีกลุ่มคนวัยทำงานดูแลผู้สูงอายุและเด็กที่บ้านและในชุมชน จากการสัมภาษณ์ปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลก่อเอ้ พบว่าการดำเนินการตามโครงการไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และสามารถลดปริมาณขยะจากผลผลิตแก้วมังกรล้นตลาดได้ จากการสอบถามผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเพื่อ กำหนดค่า Deadweight พบว่าสถานประกอบการเลมอนดริ้งค์กำหนด ร้อยละ 10 เนื่องจากได้ดำเนินกิจกรรมผลิตน้ำบริโภคเพื่อการจำหน่ายอยู่แล้ว แต่จำหน่ายไม่ได้เนื่องจากยังไม่ได้การรับรองเลขอย. ลูกจ้างสถานประกอบการเลมอนดริ้งและวิสาหกิจชุมชนกำหนดร้อยละ 0 เท่ากัน เนื่องจากถ้าไม่ได้เข้าร่วมโครงการนี้จะไม่มีผลผลิตและผลลัพธ์เกิดขึ้น สำหรับการกำหนดค่า Attribution สถานประกอบการเลมอนดริ้งค์และวิสาหกิจชุมชนกำหนดร้อยละ 50 เท่ากัน เนื่องจากผลกำไรที่ได้มาจากการลงทุนของโครงการกับผู้ประกอบการร้อยละ 50 ในขณะที่ลูกจ้างสถานประกอบการ กำหนดร้อยละ 0 เนื่องจากผลกำไรที่ได้มาจากการเข้าร่วมโครงการทั้งหมด เมื่อคำนวณมูลค่าผลประโยชน์รวม 5 ปี โดยใช้อัตราคิดลดร้อยละ 2.35 กิจกรรมการจัดการความรู้ก่อให้เกิดมูลค่าปัจจุบันรวม (Present value) เท่ากับ 13,689,666.57 บาท ต้นทุนกิจกรรม 350,000 บาท ดังนั้นค่า SROI เท่ากับ 39.11 แสดงว่า การลงทุน 1 บาทให้ผลตอบแทนทางสังคม 39.11 บาท
2. การเตรียมความพร้อม เพื่อรองรับสังคมผู้สูงอายุ โดยจัดกิจกรรมด้านการส่งเสริมสุขภาพผู้สูงอายุจำนวน 6 ด้าน ได้แก่ การให้ความรู้และทักษะการสังเกตอาการผิดปกติของร่างกายเพื่อรับการรักษาตั้งแต่ระยะแรก การออกกำลังกาย การเลือกรับประทานอาหารที่เหมาะสมกับอายุและโรคประจำตัว การสร้างสัมพันธภาพระหว่างบุคคล การส่งเสริมสุขภาพด้านจิตวิญญาณ การเห็นคุณค่าในตนเอง และการลดความเครียดด้วยการทำงานอดิเรก เช่น การทำดอกไม้จันทน์จากกระดาษ recycle การสานกระเป๋าด้วยซองกาแฟ 3 in 1 การทำลูกประคบสมุนไพร การทำยาหม่องน้ำสมุนไพร การทำน้ำยาล้างจาน เป็นต้น จากการจัดประชุมกลุ่มย่อยโดยสุ่มเชิญตัวแทนชมรมผู้สูงอายุมาให้สัมภาษณ์พบว่า การจัดกิจกรรมทั้ง 6 ด้านมีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญคือ ผู้สูงอายุรู้สึกว่ากระฉับกระเฉงมากขึ้น การทำงานอดิเรกทำให้ไม่เหงาหรือเบื่อเวลาอยู่บ้านคนเดียว การมีรายได้จากการจำหน่ายสินค้าถึงแม้จะไม่มากแต่ก็ทำให้เกิดความภูมิใจที่สามารถหารายได้ด้วยตนเอง และจากการทบทวนวรรณกรรมพบว่าการจัดกิจกรรมทั้ง 6 ด้านสามารถป้องกันหรือชลอการเสื่อมของสมองได้ ดังนั้นผลลัพธ์ของโครงการที่สำคัญ คือ การชลอการเกิดภาวะสมองเสื่อมในกลุ่มผู้สูงอายุที่เข้าร่วมกิจกรรมอย่างสม่ำเสมอ จำนวน 120 คน จากการสำรวจสุขภาพประชาชนไทยโดยการตรวจร่างกาย ครั้งที่ 5 พ.ศ. 2557 พบความชุกภาวะสมองเสื่อมในผู้สูงอายุร้อยละ 8.1 ดังนั้น การจัดกิจกรรมจึงสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายด้านการรักษาโรคสมองเสื่อมลงได้อย่างน้อย 8 คน จากรายงานการวิจัยของโครงการประเมินเทคโนโลยีและนโยบายด้านสุขภาพ (2554) วิเคราะห์ต้นทุนการรักษาโรคสมองเสื่อมตลอดชีพในมุมมองของรัฐบาลเท่ากับ 649,734 บาทต่อคน กำหนดค่า Deadweight ร้อยละ 30 เนื่องจากกิจกรรมดังกล่าวบางกิจกรรม เช่น การตรวจร่างกาย การออกกำลังกาย และการส่งเสริมสุขภาพด้านจิตวิญญาณ ผู้สูงอายุบางท่านได้ปฏิบ