วัตถุประสงค์หลักของโครงการนี้คือการพัฒนาต่อยอดการนำผลงานวิจัยเกี่ยวกับการผลิตถ่านชีวภาพจากวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตรเพื่อใช้สำหรับปรับปรุงคุณภาพดินไปใช้ประโยชน์ในแหล่งชุมชนที่มีศักยภาพ พัฒนาพื้นที่ที่ได้รับการถ่ายทอดองค์ความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรมที่เหมาะสม ให้เป็นแหล่งเรียนรู้ เกี่ยวกับการผลิตถ่านชีวภาพจากวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตรในระดับอำเภอของ 2 จังหวัด โดยใช้พื้นที่ดำเนินการใน 2 จังหวัด ได้แก่ สมุทรสงคราม และราชบุรี โดยมีขั้นตอนการดำเนินการประกอบด้วย การเลือกพื้นที่ผ่านการประชุมหารือแบบเสวนาชาวบ้าน ร่วมกับส่วนงานที่เกี่ยวข้องรวมถึงเสริมสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมด้วยการจัดทำแหล่งเรียนรู้ตัวอย่าง อบรมถ่ายทอดองค์ความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ในรูปแบบการจัดฐานการเรียนรู้ทั้งหมด 9 ฐาน อบรมผู้นำประจำฐาน พัฒนาฐานการเรียนรู้ให้เป็นแหล่งเรียนรู้ พร้อมประเมินผลด้วยแบบสอบถามแบบเฉพาะเจาะจงในกลุ่มจำนวนสมาชิกที่เข้าร่วมกิจกรรมในแต่ละแห่ง ผลการดำเนินการพบว่า สามารถสร้างฐานเรียนรู้ในจังหวัดสมุทรสงคราม 3 แห่ง และจังหวัดราชบุรี 6 แห่ง โดยฐานการเรียนรู้ในจังหวัดสมุทรสงครามเลือกใช้วัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตรประเภทเปลืกมะพร้าว ผลส้มโอ กิ่งส้ม กิ่งลิ้นจี่ และผักตบชวา ส่วนพื้นที่ของจังหวัดราชบุรีเลือกใช้ซังอ้อยที่บีบน้ำตาลออกหมดแล้ว ผลการดำเนินโครงการพบว่า สามารถผลิตถ่านชีวภาพจากวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตรและวัชพืชน้ำ ประเภทกิ่งลิ้นจี่ กิ่งส้มโอ ผลส้มโอ เปลือกมะพร้าว ผักตบชวา และซังอ้อยได้ 20, 15.0, 16.5, 15.0, 8.0 และ 12 เปอร์เซ็นต์โดยน้ำหนักตามลำดับ โดยกิ่งลิ้นจี่ กิ่งส้มโอ ผลส้มโอ สามารถเผาได้ถ่านชีวภาพมากสุดที่อุณหภูมิ 400-500 องศาเซลเซียส เปลือกมะพร้าวเผาได้ถ่านชีวภาพมากสุดที่อุณหภูมิ 350-400 องศาเซลเซียส และผักตบชวา และซังอ้อยเผาได้ถ่านชีวภาพมากสุดที่อุณหภูมิ 250-300 องศาเซลเซียส ผลการวิเคราะห์ลักษณะทางกายภาพและองค์ประกอบทางเคมีพบว่า ถ่านชีวภาพจากวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตรและวัชพืชน้ำ มีลักษณะสีดำและสีเทา เป็นมันวาว ผลการสแกนด้วยเครื่องสแกนแบบ Electro microscopy scanning พบว่า ถ่านชีวภาพจากวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตรมีจำนวนรูพรุนทั่วพื้นที่ผิว องค์ประกอบทางเคมีของถ่านชีวภาพมีเปอร์เซ็นต์ของออร์กานิคคาร์บอนสูงกว่า 700 มิลลิกรัมต่อกรัมทุกๆ วัสดุ มีปริมาณธาตุโพแทสเชียมสูงในผักตบชวาและกิ่งส้มโอเท่ากับ 1.85 และ 1.048 มิลลิกรัมต่อกรัมตามลำดับ และมีค่าความเป็นกรด-เบส อยู่ในช่วงเป็นเบส มีค่าพีเอซมากกว่า 7.2 ในถ่านชีวภาพที่ใช้ทดสอบ ผลการนำถ่านชีวภาพไปใช้ประโยชน์ในชุมชนด้วยวิธีการผสมกับดินในพื้นที่ เพื่อใช้ในการปรับปรุงคุณภาพดิน ในอัตราส่วนของดินที่มีส่วนผสมของถ่านชีวภาพ 1:1 มีอัตราการเจริญเติบโตของพืชสวนครัวประเภทผักคะน้าดีที่สุด และพบว่าผลจากการประเมินระดับความรู้ ความเข้าใจ ก่อนการเข้าร่วมอบรม หลังผ่านการอบรม ความสามารถของผู้อบรมที่จะนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ในพื้นที่ชุมชน และระดับความพึงพอใจของผู้เข้าร่วมกิจกรรม พบว่า ผลการประเมินทั้ง 3 ประเด็น อยู่ในเกณฑ์ระดับมากถึงมากที่สุด โดยพบว่า มีระดับความพึงพอใจในการเข้าร่วมกิจกรรมอยู่ในเกณฑ์ระดับมากที่สุดทั้ง 2 จังหวัด และสามารถพัฒนาฐานการเรียนรู้ชุมชนให้เป็นแหล่งเรียนรู้ด้านการผลิตถ่านชีวภาพจากวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตรในระดับจังหวัดได้ 2 แห่ง ประกอบด้วย แหล่งเรียนรู้ในพื้นที่ของตำบลบางนางลี่ อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม 1 แห่ง และแหล่งเรียนรู้ในพื้นที่ตำบลกรับใหญ่ อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี 1 แห่ง ผลสำเร็จครั้งนี้สามารถทำให้ชุมชนในพื้นที่ทั้ง 2 จังหวัด ได้รู้จักและสามารถผลิตถ่านชีวภาพใช้ภายในชุมชนพร้อมกับสามารถที่จะเป็นตัวแทนถ่ายทอดองค์ความรู้สู่พื้นที่อื่นๆ ได้เป็นอย่างดี