การจัดการองค์ความรู้ศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่นเพื่อการรื้อฟื้นภูมิปัญญาสู่วิถีชีวิตสังคมในยุคใหม่ เป็นการนำผลงานวิจัยมาจัดการความรู้และถ่ายทอดให้กับชุมชน ด้วยการสร้างกระบวนการเรียนรู้ในการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่นในงานสถาปัตยกรรม ด้วยการจัดกิจกรรมอบรมและประชุมเพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้เกี่ยวกับภูมิปัญญาเชิงช่างในการอนุรักษ์ศิลปสถาปัตยกรรม และนำข้อมูลในการจัดกิจกรรมมาถอดเป็นคู่มือองค์ความรู้ให้ประชาชนทั่วไปเข้าใจอย่างง่าย ในการดำเนินโครงการมีการจัดประชุมเพื่อการสร้างกระบวนการเรียนรู้และถ่ายทอดองค์ความรู้ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น วัฒนธรรมจังหวัด สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดเชียงใหม่ สภาเด็กและเยาวชนจังหวัดเชียงใหม่ หน่วยงานภาคเอกชน และประชาชนในท้องถิ่น
การจัดโครงการอบรมเผยแพร่ความรู้ บ่มเพาะต้นกล้า สล่าล้านนา หลักสูตร เยาวชน (หรือพระสงฆ์) กับการอนุรักษ์ศิลปสถาปัตยกรรม มีผู้เข้าร่วมโครงการ จำนวน 120 คน และผู้เข้าร่วมโครงการได้นำองค์ความรู้ไปใช้ประโยชน์ในระดับมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 89.40 และเสนอให้จัดโครงการอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดความตระหนักในการสร้างความเข้าใจในการดำเนินอนุรักษ์ให้ถูกวิธี และตรงประเด็น ตลอดจนควรใช้เทคโนโลยีในการจัดทำฐานข้อมูลในการอนุรักษ์ให้ทันสมัยเป็นปัจจุบัน เพื่อเป็นทางเลือกในการอนุรักษ์ต่อไป
การจัดประชุมเพื่อเผยแพร่องค์ความรู้ “ช่างฝีมือ งานสล่าพื้นบ้าน งานศิลปสถาปัตยกรรมที่กำลังจะสูญหาย รวมไปถึง วัสดุก่อสร้างพื้นบ้าน และวัสดุตกแต่งอาคารที่มีคุณค่า” มีผู้เข้าร่วมโครงการ จำนวน 110 คน และผู้เข้าร่วมการประชุมได้นำองค์ความรู้ไปใช้ประโยชน์ในระดับมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 85.80 และเสนอให้จัดโครงการอย่างต่อเนื่อง เพื่อสืบสานวิธีการอนุรักษ์ต่อไป โดยมีเทคนิคการสอนเข้าใจง่าย และสามารถนำไปต่อยอดได้
การจัดนิทรรศการและร่วมทำกิจกรรม RC ด้วยแผนที่ มีผู้เข้าร่วมกิจกรรมมากกว่า 500 คน มีความพึงพอใจต่อประโยชน์ที่ได้รับจากการร่วมโครงการอบรมเผยแพร่ความรู้ฯ ในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (โดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.50) โดยสามารถนำความรู้ที่ได้รับไปใช้ประโยชน์หรือเผยแพร่ให้แก่ผู้อื่น โดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.65 รองลงมาคือ การเชื่อมโยงข้อมูลผ่านกิจกรรม โดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.61 ได้รับความรู้ ข้อมูลเกี่ยวกับทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม โดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.50 เป็นกิจกรรมที่แสดงถึงการทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม โดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.44 และใช้เป็นแหล่งอ้างอิง เพื่อประโยชน์ในการศึกษาค้นคว้าต่อไป โดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.32 ตามลำดับ
ส่วนการติดตามประเมินผลสำเร็จ ได้ดำเนินการด้วยแบบสอบถามกับผู้เข้าร่วมกิจกรรม ส่วนการติดตามประเมินผลหลังดำเนินการ 3 – 6 เดือน ด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึกในการนำไปใช้ประโยชน์ พบว่า สำนักงานพระพุทธศาสนา นำโดยโรงเรียนธรรมราชศึกษา วัดพระสิงห์วรมหาวิหาร จังหวัดเชียงใหม่ ได้นำกระบวนการเรียนรู้ดังกล่าวไปปรับในวิชาศิลปศึกษา โดยได้จัดให้มีการสอนงานเทคนิคการตัดกระดาษ งานเทคนิคลายคำ งานปูนปั้น และงานแกะสลักในรายวิชาดังกล่าวเป็นโรงเรียนนำร่อง และพบว่าทุกภาคส่วนให้ตระหนักและให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่น จึงมีผู้สนใจเข้าร่วมกิจกรรมที่มีการถ่ายทอดกระบวนการเรียนรู้เพื่อจะรื้อฟื้นภูมิปัญญาพื้นถิ่นสู่วิถีชีวิตสังคมในยุคใหม่เป็นจำนวนมาก และมีการนำผลที่ได้ไปประยุกต์ใช้เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยต่อไป