พระราชกรณียกิจเกี่ยวกับการพัฒนา ส่งเสริมสมุนไพรไทยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้น เริ่มต้นมาจากพระมหากรุณาธิคุณ และความใส่พระราชหฤทัยในด้านการสาธารณสุขของพสกนิกร ซึ่งพระองค์ท่าน นอกจากจะทรงใช้วิธีการดูแลพสกนิกร ผ่านทางบุคลากรทางการแพทย์จากหลายสาขาแล้ว ด้วยสายพระเนตรที่กว้างไกล พระองค์ยังทรงมีพระราชดำริที่ในเรื่องที่จะต้องให้ความสนใจในด้านสมุนไพร ความหลากหลายทางชีวภาพของพืช ซึ่งควรจะมีการส่งเสริมการใช้ และการพัฒนาสมุนไพร หรือพืชที่มีคุณสมบัติทางยา ให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนมากยิ่งขึ้น โดยพระองค์ได้ทรงดำเนินการเป็นรูปธรรมอย่างชัดเจน ดังจะเห็นได้ว่ามีโครงการพระราชดำริเกี่ยวกับการศึกษาพัฒนาและอนุรักษ์สมุนไพรเกิดขึ้นหลายโครงการ รวมทั้งโครงการที่เกี่ยวข้องโดยทางอ้อมอีกเป็นจำนวนมากถั่วดาวอินคา (Sacha inchi) มีถิ่นกำเนิดจากป่าในลุ่มน้ำอะเมซอน ในประเทศเปรู ทวีปอเมริกาใต้ เมื่อกว่า 3,000 ปี เป็นพืชที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการที่สำคัญต่อมนุษย์ อาทิโอเมก้า 3, 6, 9 และมีน้ำมันที่มีความเข้มข้นสูง มีไขมันไม่อิ่มตัวถึง 98 % มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ วิตามิน และวิตามิน E มีโปรตีนสูง และกรดอะมิโน ที่จำเป็นต่อร่างกายมนุษย์ถั่วดาวอินคามีชื่อภาษาอังกฤษว่า Plukenetia volubilis หรือถั่วภูเขา mountain peanut เป็นไม้เถาสูงถึง 2 เมตร ดอก และลูกอ่อนจะมีดอกหลังจากปลูกได้ 5 เดือน ชาวอินเดียนเผ่าชนคัส และเผ่าอื่นๆ ในภูมิภาคเพาะปลูกถั่ว ซาชา อินชิ โดยน้ำมันสกัดจากเมล็ดใช้ในการทำอาหาร เมล็ดและใบที่ทำสุกแล้วเป็นแหล่งอาหารที่สำคัญอีกด้วย ถั่วดาวอินคาเป็นที่ต้องการในตลาดโลกอย่างมาก เป็นพืชที่นำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ได้หลายอย่าง เช่น สกัดเป็นน้ำมันเพื่อรับประทาน (บริโภคโอเมก้า) ผลิตภัณฑ์อาหารเสริม เครื่องสำอาง เครื่องดื่ม สบู่ ชา กาแฟ อื่นๆ ปัจจุบันมีกลุ่มเกษตรกรใช้ใบของถั่วดาวอินคามาแปรรูปเป็นชาเพื่อบริโภค และจำหน่ายโดยยังขาดการศึกษาวิจัยในด้านองค์ประกอบทางเคมี และความปลอดภัยด้านอาหาร มหาวิทยาลัยนเรศวรจึงร่วมกับภาคีเครือข่าย เกษตรกรผู้ปลูกถั่วดาวอินคา นักวิชาการ และผู้แปรรูปถั่วดาวอินคา เพื่อดำเนินโครงการศึกษาพัฒนาการผลิตชาดาวอินคาในเขตภาคเหนือตอนล่าง โดยมีวัตถุประสงค์หลักในการยกระดับมาตรฐานการผลิตในระดับแปลง สร้างอาชีพเสริมเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกร และศึกษาองค์ประกอบทางเคมีของใบเพื่อต่อยอดสู่การขอรับรองความปลอดภัยด้านอาหารจากผลการศึกษา การทดสอบชาจากใบถั่วดาวอินคาตามมาตรฐานชาเขียว พบว่า ตัวอย่างที่ 2 และตัวอย่างที่ 4 มีค่าการสกัดด้วยน้ำร้อนสูงที่สุด ร้อยละ 29.05 เท่ากัน ส่วนปริมาณเถ้ารวม ปริมาณเถ้าที่ละลายน้ำได้ และความเป็นด่าง ตัวอย่างที่ 3 มีค่าสูงที่สุด คิดเป็น 15.43 g/100g, 25.30 g/100ash และ 1.34 g/100g ตามลำดับ ส่วนค่าของเถ้าที่ละลายในกรด ปริมาณโพลีฟีนอน และปริมาณคาเตชิน ตัวอย่างที่ 5 มีค่าสูงที่สุด คิดเป็น 79.13 g/100g ash, 2.25 g/100g และ 0.50 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ ในด้านปริมาณใยอาหาร ตัวอย่างที่ 2 มีปริมาณใยอาหารสูงสุด คิดเป็น 17.52 g/100g จากการทดสอบชาจากใบถั่วดาวอินคาตามหลักโภชนาการ พบว่า ตัวอย่างที่ 2 มีปริมาณแคลเซียมและเหล็กสูงที่สุด คิดเป็น 45,110 mg/kg และ 193 mg/kg ส่วนปริมาณโซเดียม วิตามินบี 1 (ไธอะมิน) และวิตามินบี 2 (ไรโบฟลาวิน) มีค่าสูงสุดในตัวอย่างที่ 3 คิดเป็น 666 mg/kg, 0.095 mg/100g และ 0.751 mg/100g ตามลำดับ ทั้งนี้ปริมาณค่าวิตามินซี พบเฉพาะในตัวอย่างที่ 4 เท่านั้น จำนวน 2.43 mg/100g และจากการทดสอบชาจากใบถั่วดาวอินคาตามหลักการต่อต้านอนุมูลอิสระ พบว่า ค่าสารต่อต้านอนุมูลอิสระโดยรวม มีค่าสูงสุดในตัวอย่างที่ 4 ซึ่งอาจมีความสัมพันธ์กับปริมาณวิตามินซีที่พบในตัวอย่างที่ 4 ซึ่งช่วยเพิ่มการต่อต้านอนุมูลอิสระให้มีค่าสูงขึ้น ในด้านมาตรฐานระดับแปลง พบว่า เกษตรกรมีแนวทางปฏิบัติในการปลูกโดยไม่ใช้สารเคมี และเกษตรกรมีความประสงค์ที่จะเข้าสู่การยกระดับมาตรฐานในระดับแปลงเป็น มาตรฐานอินทรีย์หรือ GAP ในอนาคต โดยผ่านการรับรองจากหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง