การเครือข่ายพื้นที่การเรียนรู้สู่ชีวิตอันอุดมสำหรับเด็กและเยาวชนที่ขาดโอกาสทางสังคม
นักวิจัย
พื้นที่รับประโยชน์
คู่มือถ่ายทอดองค์ความรู้
การจัดการความรู้ ในหัวข้อ “โครงการจัดการพื้นที่การเรียนรู้สู่ชีวิตอันอุดม สำหรับเด็กและเยาวชนที่ขาดโอกาสทางสังคม” โดยมุ่งเน้นนำองค์ความรู้จากผลงานวิจัยและข้อค้นพบความรู้ภายหลังการจัดกิจกรรมของผู้เข้าร่วมกิจกรรมมาเป็นแนวทางในการประสานมิตรไมตรีระหว่างกัน เสริมสร้างความร่วมมือและการมีส่วนร่วมกันสำหรับการคิดค้นแนวทาง รูปแบบ อันเป็นองค์ความรู้ที่สร้างประโยชน์สำคัญสำหรับแนวทางในการเสริมสร้างพัฒนาทักษะชีวิตและการพัฒนาชีวิตด้านในให้กลับมาพึ่งพาตนเอง เสริมสร้างคุณลักษณะของจิตพฤติกรรมทางสังคมให้กับเด็กและเยาวชนที่ขาดโอกาสทางสังคมและอยู่ในสถานสงเคราะห์ได้มีการเปลี่ยนแปลงทางสุขภาวะที่สมบูรณ์เพิ่มขึ้น ตามคำนิยามของความอุดมของโครงการฯ (คือ มิติทางกาย จิต สังคม และปัญญา) มีพัฒนาการมากยิ่งขึ้นหากเทียบกับต้นทุนเดิมที่มีอยู่
วัตถุประสงค์ในการดำเนินงานของโครงการฯ มี 2 ประการคือ
- เพื่อให้บุคลากรในสถานสงเคราะห์ อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรีได้เป็นนักจัดการเรียนรู้ที่สามารถเสริมสร้างศักยภาพให้เด็กและเยาวชนฯ โดยเฉพาะการพัฒนาทักษะชีวิตในการพึ่งพาตนเองและการอยู่ร่วมกับผู้อื่น
- เพื่อให้ผู้นำในสถานสงเคราะห์ได้จัดทำแผนทิศทางการดำเนินงานขององค์กร ที่มีแนวทางและรูปแบบกิจกรรมที่มีประสิทธิภาพในการเสริมสร้างและพัฒนากลุ่มเป้าหมาย
ด้านการออกแบบการจัดการความรู้ ทางคณะนักวิจัยได้ออกแบบกิจกรรม 3 ครั้งที่สำคัญต่อการเรียนรู้ให้กับกลุ่มเป้าหมายผู้นำ/บุคลากรในสถานสงเคราะห์ ได้แก่ ครั้งที่ 1 จัดศึกษาดูงาน “การพัฒนาองค์กรและทิศทางงานสถานสงเคราะห์” ครั้งที่ 2 จัดฝึกอบรม “นักจัดการเรียนรู้เพื่อการเปลี่ยนแปลง” และครั้งที่ 3 จัดฝึกปฏิบัติ “ออกแบบและจัดกิจกรรมให้เด็กและเยาวชนในสถานสงเคราะห์” ด้วยความหมายมุ่งว่าจะเป็นเส้นทางแห่งการเรียนรู้ที่จะสร้างพื้นที่การเรียนรู้ร่วมกัน จนเกิดการใช้ประโยชน์จากองค์ความรู้ที่ได้ขยายผลจากงานวิจัย กลุ่มมีการระดมความคิด แลกเปลี่ยน เรียนรู้ร่วมกันในมิติของการพัฒนาทักษะและศักยภาพในการปฏิบัติงานของตนด้านเด็กและเยาวชนที่ขาดโอกาทางสังคม ให้ขับเคลื่อนทิศทางการทำงานร่วมกัน
การคัดเลือกกลุ่มเป้าหมาย/ผู้เข้าร่วมกิจกรรม ทางโครงการฯ ได้มีเกณฑ์การคัดเลือกจากความพร้อมและความสนใจเรียนรู้ของกลุ่มเป้าหมาย ที่มีประสบการณ์ในการทำงานด้านเด็กและเยาวชนในสถานสงเคราะห์และผู้นำองค์กร/หน่วยงานที่สนใจมิติการเปลี่ยนแปลงทิศทาง แผนการทำงานขององค์กรอย่างมีความเหมาะสมกับความต้องการของตนและสอดคล้องกับเป้าหมาย การดำเนินกิจกรรมของโครงการฯ ซึ่งเป็นการสอดประสานความคาดหวังร่วมกันที่จะขับเคลื่อนความต้องการ เป้าหมาย และการดำเนินงานไปพร้อมกัน ส่วนกลุ่มเป้าหมายเด็กและเยาวชนที่ขาดโอกาสทางสังคม เกิดจากการคัดเลือกจากวิธีการออกแบบกิจกรรมของทั้ง 4 แห่งที่ได้ดำเนินกิจกรรมกับเด็กและเยาวชนในสถานสงเคราะห์
ในแง่ของการประเมินผลต่อการเรียนรู้และการติดตามประเมินผลของโครงการ ทางคณะนักวิจัยได้ออกแบบการประเมินผลด้วยการสำรวจและตรวจสอบการเรียนรู้ด้วย แบบประเมินผล (ก่อน-หลัง) เข้าร่วมกิจกรรม การสังเกตการณ์แบบมีส่วนร่วม การสัมภาษณ์แบบลุ่มลึก และการถอดบทเรียนการเรียนรู้ภายหลังการมีประสบการณ์ในการออกแบบกิจกรรมสำหรับเด็กและเยาวชนที่ขาดโอกาสทางสังคม ซึ่งภายหลังจากการได้ข้อมูลและประสบการณ์จากกลุ่มเป้าหมายก็มีการมาประมวลผล วิเคราะห์-ตีความ การดำเนินกิจกรรมที่เกิดขึ้น เพื่อตอบโจทย์ของวัตถุประสงค์และผลลัพธ์ของโครงการฯ และมีการอภิปรายผลการศึกษา
ผลการดำเนินงานที่เกิดขึ้น คือ การจัดการความรู้ โดยภาพรวมช่วยเสริมสร้างศักยภาพและการเติมเต็มต่อการเรียนรู้ในมิติของการมีแนวทาง ทิศทาง และแผนการดำเนินงานให้กับองค์กร/หน่วยงานได้อย่างมีความเด่นชัดและสอดคล้องกับมุมมองความต้องการของแต่ละพื้นที่ เห็นได้จากภายหลังการเข้าร่วมกิจกรรม ครั้งที่ 1 การจัดศึกษาดูงาน พลังและแรงบันดาลใจมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงมุมมอง วิธีคิด ต่อการจัดการศึกษา สิทธิขั้นพื้นฐาน คุณภาพชีวิตที่ตนพึงจะได้รับและมองเห็นถึงจุดอ่อน-จุดแข็งขององค์กร/หน่วยงาน บุคลากร ที่ได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันผ่านกิจกรรมระหว่างการจัดศึกษาดูงาน 5 วัน (ผู้เข้าร่วมกิจกรรม 20 คน)
ส่วนกิจกรรม ครั้งที่ 2 การฝึกอบรม “นักจัดการเรียนรู้เพื่อการเปลี่ยนแปลง” ด้วยการมุ่งหวังว่ากลุ่มเป้าหมายที่ได้ เข้าร่วมกิจกรรมจะมีองค์ความรู้ ทักษะ ประสบการณ์ และการทดลองปฏิบัติกับพื้นที่/หน่วยงานของตน ผลการดำเนินงานที่เกิดขึ้นส่งผลกลุ่มเป้าหมายจำนวน 19 คน เกิดทักษะการจัดกระบวน การเรียนรู้แบบประสบการณ์ตรง การทำงานร่วมกับกลุ่มด้วยการก่อเกิดพลังกลุ่ม งาน เป้าหมายและความสุข ซึ่งภาพรวมที่ โดดเด่นของความสามารถในการเรียนรู้ของกลุ่มเป้าหมายคือ 1) ความสามารถในการใช้รูปแบบของกิจกรรมที่หลากหลาย 2) ความสามารถในการใช้ทักษะการจับประเด็นต่อการเรียนรู้ 3) การฝึกทำความเข้าใจ กลุ่มเป้าหมายด้วยหลักคิดของกระบวนการเรียนรู้ 4) ความสามารถในการออกแบบกระบวนการเรียนรู้เพื่อการเปลี่ยนแปลง และ 5) ความพร้อมของการเรียนรู้ที่นำมาสู่การแสวงหาเพื่อการบ่มเพาะฝึกฝนตนในชีวิตประจำวันและการงานที่ทำอยู่ อีกทั้งการเรียนรู้ในมุมมองความสมดุลชีวิตกับการงานของตนด้วยการสำรวจภายในตนอย่างเข้าอกเข้าใจ ส่วนทางด้านมิติของการภาวนาเพื่อการเปลี่ยนแปลง ได้บ่มเพาะมิติของการภาวนา (การรู้จักตนเอง การเรียนรู้เพื่อเชื่อมโยงกับธรรมชาติและสรรพสิ่งภายในใจสู่โลกภายนอก การเรียนรู้มิติของการฝึกฝนตนในการมีสติ สมาธิ และปัญญาอันเป็นเครื่องมือสำคัญต่อการเติมพลังชีวิตและการเพิ่มพูนกำลังใจ ความเชื่อมั่นต่อการทำงานด้านเด็กและเยาวชนฯ ที่ตนได้ดูแลอยู่) และที่สำคัญคือ กลุ่มเป้าหมายเรียนรู้ถึงวิธีการทำงาน การใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและสมดุลในตัวเองผ่านการรู้จักตนเองได้ดีขึ้นส่วนกิจกรรม ครั้งที่ 2 การฝึกอบรม “นักจัดการเรียนรู้เพื่อการเปลี่ยนแปลง” ด้วยการมุ่งหวังว่ากลุ่มเป้าหมายที่ได้ เข้าร่วมกิจกรรมจะมีองค์ความรู้ ทักษะ ประสบการณ์ และการทดลองปฏิบัติกับพื้นที่/หน่วยงานของตน ผลการดำเนินงานที่เกิดขึ้นส่งผลกลุ่มเป้าหมายจำนวน 19 คน เกิดทักษะการจัดกระบวน การเรียนรู้แบบประสบการณ์ตรง การทำงานร่วมกับกลุ่มด้วยการก่อเกิดพลังกลุ่ม งาน เป้าหมายและความสุข ซึ่งภาพรวมที่ โดดเด่นของความสามารถในการเรียนรู้ของกลุ่มเป้าหมายคือ 1) ความสามารถในการใช้รูปแบบของกิจกรรมที่หลากหลาย 2) ความสามารถในการใช้ทักษะการจับประเด็นต่อการเรียนรู้ 3) การฝึกทำความเข้าใจ กลุ่มเป้าหมายด้วยหลักคิดของกระบวนการเรียนรู้ 4) ความสามารถในการออกแบบกระบวนการเรียนรู้เพื่อการเปลี่ยนแปลง และ 5) ความพร้อมของการเรียนรู้ที่นำมาสู่การแสวงหาเพื่อการบ่มเพาะฝึกฝนตนในชีวิตประจำวันและการงานที่ทำอยู่ อีกทั้งการเรียนรู้ในมุมมองความสมดุลชีวิตกับการงานของตนด้วยการสำรวจภายในตนอย่างเข้าอกเข้าใจ ส่วนทางด้านมิติของการภาวนาเพื่อการเปลี่ยนแปลง ได้บ่มเพาะมิติของการภาวนา (การรู้จักตนเอง การเรียนรู้เพื่อเชื่อมโยงกับธรรมชาติและสรรพสิ่งภายในใจสู่โลกภายนอก การเรียนรู้มิติของการฝึกฝนตนในการมีสติ สมาธิ และปัญญาอันเป็นเครื่องมือสำคัญต่อการเติมพลังชีวิตและการเพิ่มพูนกำลังใจ ความเชื่อมั่นต่อการทำงานด้านเด็กและเยาวชนฯ ที่ตนได้ดูแลอยู่) และที่สำคัญคือ กลุ่มเป้าหมายเรียนรู้ถึงวิธีการทำงาน การใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและสมดุลในตัวเองผ่านการรู้จักตนเองได้ดีขึ้น
นอกจากนั้น การจัดกิจกรรมครั้งที่ 3 การออกแบบกิจกรรมสำหรับเด็กและเยาวชนในสถานสงเคราะห์ ผลผลิตที่ได้จากการฝึกอบรม จำนวน 202 คน ซึ่งเดิมทีออกแบบไว้ที่ 150 คนต่อการขยายผลการใช้ประโยชน์จากองค์ความรู้ที่กลุ่มเป้าหมายได้รับ นับว่าเป็นจำนวนที่เพิ่มขึ้นจากความคาดหวังของโครงการฯ ที่ตั้งไว้ ข้อค้นพบจากการเรียนรู้ที่สำคัญคือ กลุ่มเป้าหมายเด็กและเยาวชนฯ มีความรู้สึกสนใจต่อการเข้าร่วมกิจกรรมและมีพลังต่อการเรียนรู้มากยิ่งขึ้น เกมและกิจกรรมต่างๆ ที่ทางผู้เข้าร่วมเกิดทักษะมาปรับประยุกต์ใช้ต่อการจัดการเรียน การสอนนั้นมีผลสะเทือนต่อความสัมพันธ์ต่อการเรียนรู้กับเด็กและเยาวชนฯ ได้อย่างใกล้ชิด สนิทใจมาก รวมถึงการมีวิธีการในการสร้างมุมมองความเข้าใจในมิติของความรัก อบอุ่นที่ทำให้เข้าถึงกันและกันจนส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงในหลายระดับ ตั้งแต่ระดับบุคคล (คือครู/บุคลากร เจ้าหน้าที่ เกิดการเปลี่ยนแปลงมุมมองของการรับรู้ในตนเอง มีพลังในตนและผ่อนคลายต่อการทำงานได้มากขึ้น จนเกิดแง่มุม ประสบการณ์ในการสร้างสรรค์การเรียนรู้) ระดับของหน่วยงาน/องค์กร (มีบางองค์กรที่เข้าร่วมกิจกรรม เช่น โรงเรียนบ้านอุ่นรัก มีการเปลี่ยนแปลงแนวทางการจัดการศึกษาแบบมีส่วนร่วมและนำวิธีการจัดกระบวนการเรียนรู้แบบผ่านประสบการณ์ตรงมาอบรมครูและนำสู่การสอนในชั้นเรียนให้กับเด็กและเยาวชนฯ เป็นต้น) ระดับชุมชน/สังคม เกิดการสร้างความร่วมมือระหว่างองค์กร/หน่วยงานภาคีร่วมกันคือ ผู้จัดการมูลนิธิวันสกาย ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านอุ่นรัก ผู้บริหารโรงเรียนบ้านสายรุ้ง ผู้จัดการโครงการเอริธ์ชาย และหน่วยงานอื่นๆ ที่เป็นภาคีเกิดการรวมตัวเพื่อคิดพัฒนาโครงการร่วม เพื่อเป็นแผนการทำงานด้านเด็กและเยาวชนในเขตพื้นที่ อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี ร่วมกัน
ส่วนสุดท้ายที่เป็นข้อเสนอแนะจากการดำเนินงานซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้โครงการได้ประสบผลลัทธ์ คือ 1) การคัดเลือกและรู้จักกลุ่มเป้าหมายอย่างใกล้ชิด 2) การแลกเปลี่ยนความคาดหวังหรือต้องการระหว่างกันสู่การบรรลุเป้าหมาย 3) การสร้างความเชื่อมั่นและไว้วางใจระหว่างกัน 4) แบ่งปันและประมวลเป็นความรู้ร่วมของกลุ่ม หรือ "ปัญญาร่วม" 5. พลังแห่งแบบอย่างที่เป็นรูปธรรมและหลากหลายในการเรียนรู้