สถานการณ์ปัญหายาเสพติดในปัจจุบัน นับว่ามีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น จากรายงาน WORLD DRUG REPORT 2017 ได้ประมาณการผู้ติดยาเสพติดทั้งโลก พบว่ายาเสพติดที่สำคัญๆ ที่ได้รับความนิยมนั้นมีผู้ติดกัญชา 183 ล้านคน สารสกัดจากฝิ่น 35 ล้านคน ยาบ้า-สารกระตุ้นต่างๆ 37 ล้านคน ยาอี 22 ล้านคน ยาแก้ปวด-ยานอนหลับ 18 ล้านคน และโคเคน 17 ล้านคน (World Drug Report, 2017) สอดคล้องกับรายงานจากสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Office on Drugs and Crimes: UNODC) ระบุว่าทั่วโลกมีผู้ติดยาเสพติดประมาณ 250 ล้านคน โดยที่ราว 29.5 ล้านคน หรือร้อยละ 0.6 ของประชากรผู้ใหญ่ทั่วโลกกำลังประสบปัญหาและความทุกข์ทรมานสืบเนื่องมาจากการติดยาเสพติด (UNODC, 2017) สำหรับปัญหายาเสพติดในประเทศไทยนับเป็นวาระแห่งชาติ (National agenda) การแพร่ระบาดของยาเสพติดในประเทศไทยเป็นปัญหาที่สร้างความเดือดร้อน และส่งผลกระทบต่อสังคม ชุมชนอย่างมากโดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดนภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งถือเป็นจุดลักลอบสำคัญในการนำเข้ายาเสพติด จึงเป็นหน้าที่ของบุคลากรจากทุกภาคส่วนในการร่วมมือดำเนินงานด้านการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ในการประชุมคณะรัฐมนตรี วันที่ 16 มกราคม 2561 ได้ประกาศนโยบายการขับเคลื่อนประเทศ “โครงการไทยนิยมยั่งยืน” ที่กำหนดให้ปัญหายาเสพติดเป็นภารกิจที่ 9 “ร่วมแก้ไขปัญหายาเสพติด” อันเป็นหนึ่งในกรอบหลักในการดำเนินการเพื่อการมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศไทยสู่ความยั่งยืน โดยมุ่งเน้นการรับรู้ ปรับความคิด (Mindset) เพื่อการมีส่วนร่วมในการพัฒนา (สำนักนายกรัฐมนตรี, 2561) สอดคล้องกับแนวคิดการพัฒนาประเทศตามโมเดล Thailand 4.0 ที่ให้ความสำคัญกับการสร้างภูมิคุ้มกันให้คนไทยไม่ตกอยู่ในภาวะเสี่ยงด้านยาเสพติดโดยเฉพาะเยาวชน ซึ่งนับเป็นกำลังสำคัญของการพัฒนาประเทศ โดยยาเสพติดที่เป็นปัญหาแพร่ระบาดหลัก คือ ยาบ้า โดยในปีงบประมาณ 2559 สามารถยึดยาบ้าได้ถึง 90 ล้านเม็ด ในปีงบประมาณ 2560 ยึดได้มากกว่า 200 ล้านเม็ด และที่ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด คือ คีตามีน ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยในปีงบประมาณ 2560 พบการจับกุมคีตามีนสูงถึง 658.4 กิโลกรัม และในปีงบประมาณ 2560 พบว่ามีรายงานการเข้ารับการบำบัดรักษาของผู้ติดยาเสพติดสูงถึง 220,020 คน (สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด, 2560) โดยกลุ่มเสี่ยงหลักต่อการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกับยาเสพติด ได้แก่ กลุ่มเด็กและเยาวชน โดยพบผู้กระทำผิดเกี่ยวกับการเข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติด ทั้งในมิติของการเสพและกระทำความผิด ส่วนใหญ่มีอายุไม่เกิน 24 ปี ซึ่งกลุ่มที่พบได้มากที่สุดอยู่ในกลุ่มอายุ 15-19 ปี สูงถึงร้อยละ 40 การแพร่ระบาดของปัญหายาเสพติดในกลุ่มเด็กและเยาวชนทั้งในสถานศึกษาและนอกสถานศึกษา จึงนับเป็นปัญหาสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติเป็นอย่างยิ่ง (ศูนย์อำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดแห่งชาติ, 2561)
แนวนโยบายแผนยุทธศาสตร์การป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด พ.ศ.2558 – 2562 ยุทธศาสตร์การป้องกันกลุ่มผู้มีโอกาสเข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติด การดำเนินงานป้องกันปัญหายาเสพติดในกลุ่มเสี่ยงโดยเฉพาะเด็กและเยาวชน และได้เล็งเห็นความสำคัญที่ทุกองค์กรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องร่วมมือทำงานเชิงบูรณาการโดยกำหนดเป็นประเด็นยุทธศาสตร์ที่ 1 สร้างภูมิคุ้มกันให้เด็กและเยาวชนในสถานศึกษาต่อการรองรับสภาพปัญหายาเสพติดในสังคม ซึ่งมีเป้าหมายหลักในการดำเนินการกลุ่มใหญ่ที่เด็กวัยรุ่น (13-19 ปี) ที่มีจำนวนมากถึง 6.5 ล้านคน และประเด็นยุทธศาสตร์ที่ 2 สร้างภูมิคุ้มกันและป้องกันให้เด็กและเยาวชนนอกสถานศึกษา ซึ่งต้องอาศัยกลยุทธ์ในการทำงานด้วยการสร้างภูมิคุ้มกันและป้องกันยาเสพติดในกลุ่มปฐมวัยและวัยเด็กด้วยกระบวนการกล่อม เกลาทางสังคม (Socialization) สร้างความภาคภูมิใจของตนเอง (Self esteem) สติปัญญา (Intelligence) และ ความฉลาดทางอารมณ์ (Emotional Quotient) การพัฒนาอัตลักษณ์ (Identity) และสร้างจริยธรรม (Moral development) สร้างความเข้มแข็งทางจิตใจ (Resilience) และสร้างสังคมรอบตัวเข้มแข็งให้กับหน่วยงานที่มีส่วนสัมพันธ์โดยตรงกับเป้าหมาย คือ ครอบครัว ชุมชน โรงเรียน (สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด, 2558) การแก้ไขปัญหายาเสพติดปัจจุบัน ทางภาครัฐและทุกภาคส่วนได้พยายามสร้างเครือข่ายความร่วมมือ และบูรณาการแผนงานในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับนโยบายจนถึงระดับปฏิบัติการในพื้นที่
ทั้งนี้ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดแห่งชาติ ได้กำหนดนโยบายการแก้ไขปัญหายาเสพติด โดยมีกองกำลังสุรศักดิ์-มนตรี/กอ.รมน.ภาค 2 สย.1 เป็นหนึ่งในหน่วยงานการปฏิบัติหลัก ในการแปลงนโยบายไปสู่การปฏิบัติ และได้มีปฏิบัติการประเทศไทยเข้มแข็งชนะยาเสพติดยั่งยืน ภายใต้ยุทธศาสตร์พลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติดและปฏิบัติตามนโยบายและปฏิบัติการของรัฐบาล โดยมุ่งเน้นการบูรณาการ การทำงานในทุกระดับกับทุกภาคส่วน และต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง และสืบเนื่องจากสถานการณ์ปัญหายาเสพติดในปัจจุบัน ที่ได้มีการขยายตัวมากขึ้นโดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยงที่เป็นเด็กและเยาวชน อันเป็นบุคลากรที่เป็นกำลังสำคัญพื้นฐานในการพัฒนาประเทศ ฉะนั้น ในการปฏิบัติจึงมีความจำเป็นที่จะต้องพัฒนาศักยภาพเยาวชนให้มีความรู้ ความสามารถ มีความเข้มแข็ง มีจิตสำนึกในการเป็นผู้นำการป้องกันและเอาชนะยาเสพติด โดยต้องอาศัยความร่วมมือในการทำงานระหว่างหน่วยงานด้านความมั่นคง หน่วยงานด้านการศึกษา และผู้เกี่ยวข้องจากทุกภาคส่วนเพื่อให้เกิดพัฒนางานด้านการป้องกันยาเสพติดอย่างมีประสิทธิภาพ การวิจัยนี้ คณะผู้วิจัยอันประกอบด้วยบุคลากรจากกองกำลังสุรศักดิ์มนตรี/กอ.รมน.ภาค 2 สย.1 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี อุดรธานี มหาวิทยาลัยขอนแก่น และสำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติดภาค 4 มีเป้าหมายในการนำองค์ความรู้จากการวิจัยไปถ่ายทอดและนำไปใช้ในการส่งเสริมการขับเคลื่อนการจัดการเรียนรู้ด้านการป้องกันย