การท่องเที่ยวเชิงเกษตรในประเทศไทยได้เจริญเติบโตมาอย่างต่อเนื่องมากกว่า 10 ปีจากการสนับสนุนส่งเสริมของนโยบายภาครัฐ เช่นเดียวกับรูปแบบการท่องเที่ยวแบบอื่นการท่องเที่ยวเชิงเกษตรที่มุ่งหวังจัดการท่องเที่ยวในพื้นที่การเกษตรเพื่อการช่วยเหลือกระตุ้นเศรษฐกิจและแก้ปัญหาการว่างงานของคนในชนบท และเป็นช่องทางในการเพิ่มรายได้สู่ท้องถิ่นนอกเหนือจากการประกอบอาชีพหลัก อย่างไรก็ตามการจัดการท่องเที่ยวเชิงเกษตรต้องอาศัยองค์ความรู้ทั้งด้านการจัดการท่องเที่ยวและด้านบริหารธุรกิจ งานวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาโปรแกรมท่องเที่ยวของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนพัฒนาไม้ผลเพิ่มพูนทรัพย์ อ.บ้านนาสาร จ.สุราษฎร์ธานี และเชื่อมต่อโปรแกรมท่องเที่ยวกับเครือข่ายท่องเที่ยวชุมชนจังหวัดสุราษฎร์ธานี จัดทำปฏิทินผลไม้ของจังหวัดสุราษฎร์ธานี และถ่ายทอดองค์ความรู้เพื่อเพิ่มศักยภาพด้านการจัดการท่องเที่ยวและด้านการเงินเพื่อให้กลุ่มวิสาหกิจชุมชนฯ สามารถจัดการท่องเที่ยวเชิงเกษตรได้อย่างยั่งยืน การจัดการความรู้ครั้งนี้มีสมาชิกกลุ่มวิสาหกิจชุมชนเป็นผู้ประกอบการนำร่องเข้าร่วม 16 คนเข้าอบรมในหัวข้อต่างๆ โดยวิทยากรคณะผู้วิจัยและอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยสงขลานรินทร์ วิทยาเขตสุราษฎร์ธานี และได้พัฒนาโปรแกรมท่องเที่ยวครึ่งวันเช้า 2 โปรแกรม คือ โปรแกรมท่องเที่ยวเชิงเกษตร (มีอาหารกลางวัน) และโปรแกรมท่องเที่ยวเชิงเกษตร (ไม่มีอาหารกลางวัน) กำหนดราคาโปรแกรมท่องเที่ยวด้วยวิธีต้นทุนเป็นฐานราคาโปรแกรมเที่ยวเท่ากับ 499 บาทและ 329 บาท/คน ตามลำดับ ราคาดังกล่าวเป็นราคาที่ผู้ประกอบการมีความคุ้มทุน และหากต้องการปรับปรุงบ้านพักในสวนผลไม้เป็นบ้านพักโฮมสเตย์ พบว่าจะมีระยะเวลาคืนทุน 2 ปี 11 เดือน อัตราผลตอบแทนของโครงการเท่ากับ 10.59% และมีผลตอบแทนจากการลงทุนเป็นบวก
การทดสอบโปรแกรมท่องเที่ยวได้จัดขึ้นในเดือนกรกฎาคม 2564 ด้วยอาสาสมัครนักท่องเที่ยว 9 คน ผลการทดสอบพบว่าสวนผลไม้และผู้ประกอบการมีศักยภาพในการจัดการท่องเที่ยวเชิงเกษตร ผู้ประกอบการมีทัศนคติเชิงบวกต่อการให้บริการท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวมีความพึงพอใจในโปรแกรมการท่องเที่ยว โปรแกรมสามารถเชื่อมต่อกับเครือข่ายท่องเที่ยวชุมชนจังหวัดสุราษฎร์ธานีถ้ามีการปรับปรุงคุณภาพการให้บริการ ซึ่งทางคณะผู้วิจัยได้นำไปเป็นประเด็นอบรมเพื่อพัฒนาการจัดการทริปท่องเที่ยวและทักษะมัคคุเทศก์ รวมถึงการแปรรูปผลไม้ และคาดหวังว่าของฝากและของที่ระลึกที่สะท้อนอัตลักษณ์ของท้องถิ่นของอำเภอบ้านนาสารจะดึงดูดใจแก่กลุ่มลูกค้าเป้าหมายในฤดูกาลผลไม้ปีถัดไป