พื้นที่ภาคการเกษตรในจังหวัดเชียงใหม่ถูกเปลี่ยนเป็นวิถีทางการเกษตรเชิงเดี่ยวที่มุ่งสู่ภาคการผลิตเพื่อป้อนตลาดอุตสาหกรรม แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นคือ ความไม่แน่นอนของราคาที่มีการเปลี่ยนแปลงตามปริมาณและความต้องการของตลาดอยู่อย่างต่อเนื่อง เกษตรกรบางส่วนที่ประสพความล้มเหลวจึงเลิกทำการเกษตรเชิงเดี่ยวและหันกลับมาทำการเกษตรอย่างพอเพียง โดยอาศัยหลักทฤษฎีใหม่ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลฯ พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ตั้งแต่ พ.ศ. 2540 เป็นต้นมา คือการที่ทรงมุ่งช่วยเหลือพัฒนาให้เกิดการพึ่งตนเองได้ของคนในชนบทเป็นหลัก สอดคล้องกับการพัฒนาการเกษตรและเกษตรยั่งยืนในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 12 (พ.ศ.2560 – 2564) โดยให้ความสำคัญกับระบบเกษตรกรรมเพิ่มขึ้น การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตโดยการใช้วัสดุเหลือทิ้ง และมีการกำหนดเป้าหมายพัฒนาคุณภาพมาตรฐานและความปลอดภัยของสินค้าเกษตรและอาหารอย่างต่อเนื่อง โดยลดพื้นที่ทำการเกษตรและลดต้นทุนการผลิตแต่ให้เน้นการเพิ่มคุณภาพและปริมาณของผลผลิต โดยอาศัยองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีซึ่งได้ผ่านการวิจัยและพัฒนา โดยหลักสูตรวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาเทคโนโลยีสิ่งแวดล้อม คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ ร่วมกับสวทช.ภาคเหนือ มาใช้ในโครงการถ่ายทอดภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านการเกษตรตามแนวปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในการยกระดับระบบการผลิตสู่เกษตรปลอดภัยด้วยใช้จุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์โดยการมีส่วนร่วมของเกษตรกรในเขตจังหวัดเชียงใหม่ ด้วยการใช้จุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์ในการการเกษตร เทคนิคการผลิตปุ๋ยหมักกองเตี้ยและเป็นปุ๋ยหมักที่มีเชื้อจุลินทรีย์ปฏิปักษ์ต่อโรคพืช นำมาถ่ายทอดเทคโนโลยีที่เป็นประโยชน์ต่อชุมชน ตามพื้นที่เป้าหมายนำร่อง 3 พื้นที่ ได้แก่
- บ้านป่าลาน ตำบลหนองตอง อำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่
- บ้านสะลวงนอก ตำบลสะลวง อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่
- บ้านห้วยบง ตำบลทาเหนือ อำเภอแม่ออน จังหวัดเชียงใหม่
จากการดำเนินการถ่ายทอดเทคโนโลยี มีผู้เข้ารับการฝึกอบรมทั้ง 3 พื้นที่ รวมทั้งสิ้น 380 ราย และสามารถสร้างเกษตรกรแกนนำในแต่ละพื้นที่ได้ ไม่น้อยกว่า 2 คน จากการประเมินค่าเฉลี่ยความเข้าใจองค์ความรู้ที่นำมาถ่ายทอดเทคโนโลยีหลังการฝึกอบรมเกษตรกรมีความรู้เพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 93 % และการตรวจสอบวิเคราะห์ธาตุอาหารหลักในดินหลังการใช้ปุ๋ยหมักแบบกองเตี้ยปรับปรุงดินจะพบว่า ดินมีความอุดมสมบูรณ์เพิ่มขึ้นได้แก่ pH 7.5-7.9, N 1.03-1.9 %, P 93-118 ppm และ K 170-315 ppm ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความสมบูรณ์ของดินแต่ละพื้นที่ และยังพบว่า ในดินมีจุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์กลุ่มเชื้อรา Trichoderma spp. ร่วมกับแบคทีเรีย Bacillus subtilis เพิ่มขึ้นจากจำนวน 103 เป็น 107 cfu/g ซึ่งจะทำให้ดินมีเชื้อปฏิปักษ์ช่วยป้องกันโรคที่เกิดจากเชื้อรา และเชื้อแบคทีเรียได้ดีขึ้น อีกทั้งยังช่วยส่งเสริมให้พืชมีผลผลิตเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 10 % ของผลผลิตเดิม จึงสามารถสรุปประเด็นการพัฒนาหลักๆ ดังนี้
- เกษตรกรสามารถยกระดับการผลิตพืชปลอดภัยด้วยการประยุกต์ใช้จุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์ในกระบวนการผลิต
- ช่วยลดการใช้สารเคมีทางการเกษตรและประยุกต์ใช้จุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์เร่งการผลิตปุ๋ยหมักกองเตี้ยและเปลี่ยนรูปสารเคมีตกค้างทางการเกษตร
- เกษตรกรสามารถยกระดับระบบการผลิตเกษตรแบบปลอดภัย(GAP) สู่ระบบเกษตรอินทรีย์ได้ในอนาคตตามมติการพัฒนาการเกษตรสู่เกษตรอินทรีย์ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์