กรรมวิธีการผลิตเมล็ดแมงลักแบบเดิมที่ชาวบ้านใช้อยู่ คือ เมื่อนำช่อแมงลักที่ตัดแล้ว มัดรวมกันเป็นฟ่อน ผึ่งให้แห้งวางไว้บนพื้นดินหรือบนตอของต้นแมงลัก ก่อนทำการนวดจะทำการพรมน้ำเพื่อให้กระเปาะปริ และเมล็ดแมงลักดูดความชื้น โดยมักจะทำการพรมน้ำในช่วงเย็น และนวดในช่วงเช้ามืด โดยประยุกต์ใช้เครื่องนวดข้าว มาใช้ในการนวดฝัดเมล็ดแมงลักออกจากช่อดอกพร้อมกับการร่อนแยกเมล็ด ซึ่งเมล็ดที่ได้จะมีความชื้นเพิ่มขึ้นเนื่องจากการพรมน้ำ ดังนั้น เมล็ดแมงลักที่ได้จากกระบวนการผลิตนี้ จึงมีโอกาสที่เชื้อราสามารถเจริญเติบโตและผลิตสารอะฟลาทอกซินได้ ถ้าไม่มีการตากแดดให้แห้ง ก่อนบรรจุถุง นอกจากนี้ เกษตรกรส่วนใหญ่จะใช้น้ำจากบ่อในการพรมช่อดอกทำให้มีโอกาสเพิ่มการปนเปื้อนจากเชื้อราสูงขึ้น ประกอบกับเมล็ดแมงลักเมื่อพองตัวจะดักจับฝุ่นและสิ่งปนเปื้อนในน้ำที่ใช้พรม เมื่อนำมาทำให้พองตัวจะพบว่า มีสิ่งปนเปื้อนในเส้นใยเมล็ดแมงลักอย่างชัดเจน รวมทั้งปัญหาเมล็ดที่มีการพองตัวในช่วงเวลานวดฝัด หรือเคยมีการพองตัวก่อนการนวดฝัด เมื่อแห้งจะเกิดเป็นคราบขาว หรือที่เรียกว่า “เมล็ดไคล่” ที่สามารถมองเห็นได้ชัดเจน แต่แยกออกจากเมล็ดดีได้ยาก ซึ่งปัญหาเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นถ้าเมล็ดแมงลัก หรือช่อดอกแมงลักไม่มีการโดนน้ำก่อนการนวดฝัด ทางคณะผู้วิจัย จึงนำเทคโนโลยีกรรมวิธีการผลิตเมล็ดแมงลักแบบนวดฝัดแห้งมาส่งเสริมเกษตรกรในการอบรมนี้ซึ่งมีขั้นตอนง่ายๆ 3 ขั้นตอน คือ การบด ด้วยเครื่องแฮมเมอร์ (hammer) ที่เหวี่ยงแนวตั้ง ในท้องตลาด เรียกเครื่องโม่พลาสติก พร้อมตะแกรงขนาด 8 มิลลิเมตร --> การร่อนผ่านเครื่องร่อนที่มีตะแกรงขนาด 6 และ 1.5 มิลลิเมตร --> การทำความสะอาด ด้วยไซโคลน (cyclone) โดยประยุกต์ใช้ไซโคลนของเครื่องสีข้าวกล้อง และบรรจุถุงกระสอบที่มีการระบายอากาศได้ดี โดยตลอดทั้งกระบวนการไม่มีการพรมน้ำ เป็นการลดโอกาสของการเจริญของเชื้อรา ตัดโอกาสการเกิดสารอะฟลาทอกซิน ทำให้ได้เมล็ดแมงลักที่ปราศจากสารอะฟลาทอกซิน และช่วยลดขั้นตอนการทำงาน (การพรมน้ำ) ให้กับเกษตรกรด้วย