แนวโน้มสถานการณ์และกระแสโลกาภิวัตน์ ที่นานาอารยประเทศเน้นการแข่งขันมิติต่างๆเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการมุ่งเน้นการพัฒนาทางด้านวัตถุนิยมมากกว่าด้านจิตใจ ทั้งนี้ประเทศไทยซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของประชาคมโลก ได้มีการพัฒนาและขับเคลื่อนประเทศตามแนวทางของกระแสโลกาภิวัฒน์ดังกล่าวข้างต้น ส่งผลทำให้ภาพรวมของสังคมไทย มีแนวโน้มความขัดแย้งในมิติต่างๆเพิ่มมากขึ้น ตามจำนวนประชากรประเทศไทย จากสภาพปัญหาต่างๆ เห็นได้อย่างชัดเจนว่า การส่งเสริมสนับสนุนและพัฒนาการมีส่วนร่วมของภาคสังคมประชาชน ชุมชนในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมกับตำรวจ อันส่งผลให้เกิดความสงบเรียบร้อยและความผาสุกองสังคมโดยรวม เป็นการสร้างความเข้าใจและความสัมพันธ์อันดีระหว่างตำรวจกับประชาชน ตลอดจน การใช้พลังภาคสังคมประชาชนฯ สามารถลดงบประมาณภาครัฐในด้านการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมได้อย่างเป็นรูปธรรม เกิดความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์ต่อองค์กรตำรวจและสังคมไทยโดยรวม (สำนักงานตำรวจแห่งชาติ : 2560)
คณะผู้วิจัยได้ทำการศึกษารูปแบบการสร้างเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการสนับสนุนการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมที่เหมาะสมกับบริบทสังคมไทยในพื้นที่ตำรวจภูธรภาค 1 – 9 และกองบัญชาการตำรวจนครบาล จากนั้นทำการเก็บรวบรวมข้อมูลและทำการวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) และทำการสัมมนาวิพากษ์ผลการศึกษาจากกลุ่มผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ผลการศึกษาวิจัย พบว่า 1. รูปแบบการมีส่วนร่วมของประชาชนในการสนับสนุนการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมที่ผ่านมา ส่วนมากมีการปรับเปลี่ยนไปตามสภาพปัญหาอาชญากรรมที่มีอยู่ของแต่ละพื้นที่ โดยทั่วไปแล้วอยู่ในรูปแบบของคณะกรรมการตรวจสอบและติดตามการบริหารงานตำรวจ (กต.ตร.), อาสาสมัครจราจร (อส.จร.), อาสาสมัครตำรวจ (อส.ตร.) อันมีลักษณะเป็นการเข้าไปมีส่วนร่วมโดยตรง ภาพรวมแต่ละพื้นที่มีรูปแบบการมีส่วนร่วมไม่แตกต่างกันมากนัก สภาพปัญหาอุปสรรค พบว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจ เช่น ชุดชุมชนสัมพันธ์เข้าไปพบปะเยี่ยมเยียนประชาชนน้อยเกินไป มีกิจกรรมร่วมกับภาคประชาชนน้อย ทำให้เกิดช่องว่าระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจกับภาคประชาชนมาก กรณีประชาชนตรวจร่วม หากเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ออกไปตรวจร่วมด้วยภาคประชาชนจะไม่กล้าออกไปปฏิบัติหน้าที่ฝ่ายเดียว เนื่องจากเกรงกลัวอันตราย การไม่ให้ความสำคัญหรือมีการพูดดูถูกด้วยคำพูดจากชุมชน สังคม โดยส่วนใหญ่เป็นการพูดของคนที่ชอบกระทำการอันเป็นการเลี่ยงกฎหมายหรือทำผิดกฎหมาย คณะกรรมการตรวจสอบและติดตามการบริหารงานตำรวจ (กต.ตร.) ไม่มีการติดตามและประเมินผลอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง ตำรวจมองว่า กต.ตร.เป็นแหล่งสนับสนุนทรัพยากรการปฏิบัติงานต่าง ๆ ภาคประชาชนไม่เข้ามาร่วมกันแก้ไขปัญหาอาชญากรรมต่างๆ ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องแก้ไขปัญหาฝ่ายเดียว ภาคประชาชนโดยทั่วไปไม่ค่อยยอมรับอาสาสมัครฯ มีปัญหาขาดแคลนกำลังพลและงบประมาณสนับสนุนการดำเนินงาน อาทิ ไม่มีค่าอาหาร ไม่มีค่าน้ำมัน ไม่มีงบประมาณสำหรับ ตัดชุดเครื่องแบบให้อาสาสมัคร ต้องจัดหากันเองหมด การคัดเลือกอาสาสมัครฯ บางส่วนได้บุคคลที่ไม่มีงานทำเป็นหลักแหล่ง บางคนเข้ามาอาศัยความเป็นตำรวจเพื่อเสริมบารมีให้ตนเองและผู้มีอิทธิในพื้นที่ บางคนทำงานเกินขอบเขตอำนาจและหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย การขาดความต่อเนื่องในการปฏิบัติหน้าที่ การทำงานไม่ตรงกับวัตถุประสงค์ของการป้องกันปราบปรามอาชญากรรม และปัญหาการคัดเลือกตัวบุคคลไม่เหมาะสม การคัดกรองบุคคลไม่มีหลักเกณฑ์ที่ชัดเจน รวมตลอดจน การขาดขวัญและกำลังใจ การขาดเบี้ยเลี้ยงและสวัสดิการ ทำให้ไม่สามารถคัดเลือกภาคประชาชนเข้ามาทำงานได้หลากหลาย การปฏิบัติตัวของอาสาสมัครฯ บางคนพบว่าปฏิบัติงานเกินขอบเขต อำนาจและหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย มีการเรียกรับผลประโยชน์โดยมิชอบบางส่วนเป็นคนของผู้มีอิทธิพลนักการเมืองท้องถิ่น การขาดความร่วมมือจากผู้นำชุมชนและ 2. รูปแบบการสร้างเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการสนับสนุนการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมที่เหมาะสมกับบริบทสังคมไทย ควรมีลักษณะของการทำความร่วมมือกันระหว่างหน่วยงาน (Memorandum of Understanding หรือ MOU) โดยให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นหลักยึดโยงกับผู้นำท้องถิ่น หน่วยงานที่ที่สนับสนุนและเข้ามามีส่วนร่วมงานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ต้องมีงบประมาณในการดำเนินการตามโครงการ มีการจัดเบี้ยเลี้ยงให้กับอาสาสมัครฯ หรือเจ้าหน้าที่อื่น ๆ มีการประชาสัมพันธ์ มีการดำเนินกิจกรรมต้องต่อเนื่องและเป็นระบบ การแต่งตั้งโยกย้ายของผู้บังคับบัญชาตำรวจทุกระดับต้องไม่ส่งผลกระทบต่อการเข้าไปมีส่วนร่วมของประชาชนฯ เพื่อไม่ให้นโยบายการปฏิบัติขาดความต่อเนื่อง ต้องมีกฎหมายรองรับชัดเจนครอบคลุมทุกมิติ มีลักษณะของรูปแบบเครือข่ายเป็นผู้มีจิตอาสา มีความรักและศรัทธาในงานตำรวจ ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหรือผู้นำท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการกำหนดรูปแบบของการดำเนินงาน เนื่องจากมีหน้าที่ในการดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยเช่นกัน มีการจัดสรรงบประมาณส่งเสริมและสนับสนุนอย่างเหมาะสมกับภารกิจและสอดคล้องกับวัฒนธรรมไทย อันสอดคล้องกับโครงการตำรวจชุมชน อันมีองค์ประกอบสำคัญ 2 ส่วน คือ ความเป็นหุ้นส่วนกับชุมชน (Community partnership) และการร่วมแก้ไขปัญหา (Problem Solving) ที่มุ่งเน้นแสวงหาความร่วมมือจากประชาชน ชุมชน ท้องถิ่น และองค์กรต่าง ๆ ในชุมชนให้เข้ามามีส่วนร่วมในกิจการตำรวจ สำหรับรูปแบบการมีส่วนร่วมฯ ควรกำหนดโดยหน่วยปฏิบัติฯในพื้นที่ระดับสถานีตำรวจแล้วเสนอให้หน่วยงานต้นสังกัดทราบ เนื่องจากทราบสภาพปัญหาในพื้นที่มากกว่าการกำหนดแนวทางปฏิบัติมาจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ